๙ ตุลาคม ๒๕๕๖
ใครจะคิดบางว่า สิ่งของที่ชาวพุทธใช้เพื่อสักการะพระพุทธรูป หรือประกอบกิจกรรมทางศาสนา ความเชื่อต่าง ๆ เช่น ไหว้เจ้า การระลึกถึงบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว อย่าง "ธูป" จะกลายเป็นมัจจุราชร้ายที่คอยคร่าชีวิตมนุษย์ไปได้
เย็นวันนี้ ผมมีนัดกับหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีตอน ๑๗.๓๐ น. ผมจึงออกจากที่ทำงานก่อนเวลาเล็กน้อยแล้วรีบบึ่งรถยนต์คู่ใจไปยังเป้าหมาย รถราไม่ค่อยติดเท่าไหร่ คงเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน จึงทำให้ไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลาคาดหมายมากพอสมควร
หลังจากชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันเรียบร้อยแล้ว จึงไปยื่
นบัตรนัดกับเจ้าหน้าที่ เสียงพยาบาลบอกว่าให้นั่งรอที่ห้องหมายเลข ๒ ได้เลย
ผมมองไปยังบริเวณที่นั่งรอ มีผู้คนที่มานั่งรอหมอค่อนข้างหนาตา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนวัยทำงานไปจนถึงผู้สูงอายุ คงเป็นเพราะโรคที่ผมมาหาหมอครั้งนี้เป็นโรคที่เกี่ยวกับ ตา หู จมูก คนวัยเดียวกับผมกระมังจึงจะเป็นโรคนี้
ผมหาที่นั่งได้ที่เก้าอี้แถวหนึ่ง นั่งไปได้สักครู่ ตาเหลือบไปเห็นนิตยสารชีวจิตเล่มหนึ่งปี ๒๕๕๑ วางอยู่ เลยหยิบมาพลิกอ่านฆ่าเวลา
พลิกไปเรื่อย จนพลิกมาถึงหน้าหนึ่ง ตัวหนังสือตัวหนา ๆ "ควันธูปอัตราย สารก่อมะเร็งอื้อ" สะดุดตาผมมาก ทำให้ผมต้องหยุดอ่านรายละเอียดของเนื้อหาในคอลัมภ์นี้
ผมจับประเด็นได้ว่า
เรื่องนี้เป็นการค้นพบของ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และ น.ส.พนิดา นวสัมฤทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่ได้วิจัยเกี่ยวกับอันตรายของควันธูป เพราะสงสัยว่ามีผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางส่วนไม่พบประวัติสูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ อีกทั้งไม่มีประวัติสัมผัสสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพเลย แต่กลับเป็นมะเร็งปอด ซึ่งข้อค้นพบของเหตุนั้นก็คือ จากควันธูป นั่นเอง
ผลการศึกษาพบว่าควันธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซิน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน ที่มาจากกาว ขี้เลื่อย น้ำมันหอมและสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม สารก่อมะเร็งเกิดจากการเผาไหม้ของกาวและน้ำหอม เป็นสำคัญ โดยจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน และสารพิษอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีส่วนในการก่อให้เกิดมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด มะเร็งปอด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
คนที่เสี่ยงมากก็คือคนงานที่ทำงานในวัดหรือศาลเจ้าและประชาชนที่นิยมจุดธูปภายในบ้าน
ข้อมูลพบว่า การจุดธูป ๓ ดอก สามารถปล่อยมลพิษและสารก่อมะเร็งได้เทียบเท่าสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง
และธูปทุกชนิดล้วนมีสารก่อมะเร็งทั้งสิ้น
ผมอ่านแล้วรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เพราะคาดไม่ถึงครับ ผมไม่แน่ใจว่าคนไทยเรารู้อันตรายนี้มากน้อยแค่ไหน
นี่แหละคือเป็นเหตุผลทีผมเก็บเอาเรื่องนี้มาเขียนในวันนี้ ก็เพื่อเผยแพร่ข้อมูลนี้ให้ขยายวงมากขึ้น ใครอ่านพบเข้าก็สะกิดบอกคนข้างเคียงด้วยนะครับ
หากให้ผมแนะนำก็คือพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ทีมีควันธูป หากจะต้องจุดธูปในบ้านผมอยากแนะนำว่าเมื่อกราบไหว้แล้วก็ดับซะ ผมว่าคงไม่ผิดกติกากระมัง
ได้ประโยชน์จริง ๆ ครับกับการไปหาหมอครั้งนี้ เพราะนอกจากข่วดีที่หมอได้บอกกับผมว่าอาการของผมดีขึ้นมากแล้ว ยังได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับมหันตภัยใกล้ตัวอย่าง "ธูป" ติดตัวมาด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น