วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สมัชชาพลเมือง กลไกใหม่ในรัฐธรรมนูญ

๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘

นักปรัชญาชาวเยอรมันคนหนึ่งชื่อ นายเจอร์เก้น ฮาเบอร์มาส (Jürgen Harbermas) ได้เคยเสนอแนวคิดเรื่อง “พื้นที่สาธารณะ” ไว้ตอนหนึ่ง ว่าเป็น “การเปิดให้มีพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ผู้คนได้เข้ามาแลกเปลี่ยน ถกเถียง หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นการมาพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสาธารณะหรือผลประโยชน์สาธารณะได้อย่างอิสระ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อส่วนรวม”

ผมว่าเป็นคำกล่าวที่สำคัญอย่างมาก สอดคล้องกับกระแสการพูดคุยกันของผู้คนในสังคมบ้านเรากับกลไกที่ชื่อ “สมัชชาพลเมือง” ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญที่กำลังยกร่างอยู่ในขณะนี้

ผลผลิตหนึ่งของการมีพื้นที่สาธารณะก็คือ จะเกิดความรู้ระดับชุมชนท้องถิ่นขึ้นมาในประเด็นสาธารณะต่าง ๆ ที่ผ่านการคัดสรร คัดกรอง กลั่นกรองจนตกผลึก จนกลายเป็นประเด็นร่วมของคนที่มาหารือร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะที่เหมาะสมกับชุมชนท้องถิ่นต่อไปในอนาคต

ลักษณะเด่นของพื้นที่สาธารณะแบบนี้จะมีการสร้างบรรยากาศของการ “สานเสวนาสาธารณะ” โดยที่ยอมรับในความแตกต่างทางความคิดกันได้และมีบรรยากาศการสื่อสารแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ผ่านรูปแบบการสนทนา อภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมเกิดขึ้น โดยไม่มีการบังคับข่มขู่ ชักจูง คุกคาม หรือออกคำสั่งให้ต้องพูดแต่อย่างใด

ฮาเบอร์มาสเรียกรูปแบบพื้นที่สาธารณะแบบนี้ว่า “เป็นกระบวนการสร้างประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ” โดยเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับการถกแถลงสนทนา เพื่อแสวงหาเหตุผลของแต่ละฝ่ายที่เห็นแตกต่างกัน ได้มีพื้นที่ในการเสนอความเห็นอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม มีการให้น้ำหนักกับหลักฐาน เหตุผล ความรู้สึก อารมณ์ และสร้างความเข้าใจในเจตนารมณ์ร่วมมากกว่าการตัดสินใจโดยเสียงข้างมากแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนกับในระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน

กล่าวได้ว่าเป็นกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงที่คนในชุมชนท้องถิ่น คนตัวเล็กตัวน้อยจะมาร่วมประชุมเพื่อปรึกษาหารือ เปิดกว้างในการเข้าถึง มีความเท่าเทียมในการแสดงความคิดเห็น มีการแลกเปลี่ยนอภิปรายบนฐานของเหตุผล มีการหาข้อสรุปร่วมกัน และนำข้อสรุปไปต่อรองทางนโยบายกับภาครัฐหรือผู้มีอำนาจในสังคมต่อไป

กระบวนการปรึกษาหารือผ่านพื้นที่สาธารณะมีหลายรูปแบบ อาจเป็นเวทีเสวนาแบบเปิด มีลักษณะคล้ายคลึงกับการจัดเวทีสาธารณะ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้สนทนาถกเถียงโดยไม่จำกัดเฉพาะแต่ในหน่วยงานหรือกลุ่มของตนเองเท่านั้น หรือเวทีแสดงความเห็นผ่านสื่อต่างๆ อาทิ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น สถานีโทรทัศน์ วิทยุชุมชน หรืออินเตอร์เน็ต ก็ได้

เราสามารถนำแนวความคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับ “สมัชชาพลเมือง” ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในระดับชุมชนท้องถิ่น เพราะการเปิดให้มีพื้นที่สาธารณะจะนำไปสู่การคลี่คลายความกังวลใจร่วมกันของกลุ่มหรือชุมชน อันเกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ทำให้ชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นเกิดความตระหนักในสิทธิและความสามารถของตนเอง พัฒนา “ความรู้ในระดับชุมชนท้องถิ่นตนเองขึ้นมา” เพื่อที่จะตรวจสอบนโยบายรัฐที่ผู้กำหนดนโยบายดำเนินการโดยขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น

อีกทั้งยังสามารถยกระดับพัฒนาให้กลายเป็นความคิดร่วมหรือข้อตกลงร่วม จนกลายเป็นกฎหมายหรือนโยบายจากคนข้างล่างภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน ที่เป็นกฎหมายหรือนโยบายที่คนข้างล่างได้ “คิดร่วม เห็นร่วม ตกลงร่วม” และส่งผ่านความคิดร่วมที่ตกผลึกดังกล่าวนั้นในรูปแบบต่างๆ เช่น กฎหมาย นโยบาย ข้อบัญญัติต่างๆ ไปยังคนข้างบนที่อยู่ในระบบประชาธิปไตยตัวแทน

กระบวนการสร้างความรู้ของชนชั้นล่างนี้เอง คือ การชี้ให้เห็นถึง “การไม่สยบยอม” หรือ “การต่อต้าน” อำนาจรัฐที่มาจากศูนย์กลางและเข้ามากำหนดวิถีชีวิตของพวกเขา เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ไร้สิทธิไร้เสียง และต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยเฉพาะการสร้างนโยบายสาธารณะของตนเอง

เป็นการสร้างพลังอำนาจให้แก่ประชาชนในการกำหนดอนาคตของชุมชนท้องถิ่นตนเองนั่นเอง ผ่านการแลกเปลี่ยน โต้เถียง และต่อรองของผู้คนที่เห็นต่างและมีค่านิยมแตกต่าง เพื่อให้ร่วมคิดถึงทางเลือกหรือทางออกของแง่มุมต่าง ๆ ในสังคม

หันกลับไปดู “สมัชชาพลเมือง” ที่เขียนไว้ในหมวด ๗ ว่าด้วยเรื่อง “การกระจายอำนาจและการบริหารท้องถิ่น” มาตรา ๒๑๕ วรรคสามว่า “เพื่อประโยชน์ในการมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรานี้ พลเมืองอาจรวมกันเป็นสมัชชาพลเมืองซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากองค์ประกอบที่หลากหลายจากพลเมืองในท้องถิ่น และมีความเหมาะสมกับภูมิสังคมของแต่ละพื้นที่ มีภารกิจในการร่วมกับองค์กรบริหารท้องถิ่นในการดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้”

และยังกำหนดรายละเอียดไว้ในวรรคสี่อีกว่า “องค์ประกอบ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ที่มา วาระการดำรงตำแหน่ง ภารกิจของสมัชชาพลเมืองและการอื่นที่จำเป็น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”

แล้วเกิดความกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะร่างที่ออกมานี้เสมือนจำกัดบทบาทของสมัชชาพลเมืองไว้ให้ทำงานร่วมกับองค์กรบริหารท้องถิ่นเท่านั้น ไม่สามารถไปร่วมคิด ร่วมพิจารณากับการทำงานขององค์กรราชการส่วนกลาง หรือส่วนภูมิภาค ได้เลย และยังมีเจตนาทำให้สมัชชาพลเมือง กลายเป็นกลไกใหม่ มีโครงสร้างที่ชัดเจนแข็งตัว อาจกลายเป็นของเล่นใหม่ของผู้คนบางกลุ่มบางพวกเท่านั้น

ในมุมมองของผม ฝันอยากให้ “สมัชชาพลเมือง” เป็น “พื้นที่สาธารณะ” ตามแนวคิดของฮาเบอร์มาส ที่เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่ต้องการเข้ามาเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน

หมายเหตุ บทความนี้เคยนำลงในวารสาร “สานพลัง” ของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ฉบับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผญา ภูมิปัญญาของคนอีสาน

๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘

“เขาเรียกว่า ผญา ครับ”

เป็นคำตอบที่ผมได้รับจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผม หลังจากที่ผมหันไปกระซิบถามเขาว่า สิ่งที่ลุงอีกคนหนึ่งกำลังขับขานอยู่กลางเวทีนั่นเรียกว่าอะไร

เป็นเหตุการณ์ที่ผมได้พบเจอด้วยตัวเอง ในเวทีผู้นำทางความคิดปฏิรูปประเทศไทย ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ที่โรงแรมนภาลัย จังหวัดอุดรธานี โดยเป็นเวทีที่เชิญแกนนำกลุ่มและเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน มาช่วยกันระดมสมองกำหนดทิศทางการปฏิรูปประเทศไทย โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “ประชาเสวนา”

ช่วงหนึ่ง เป็นช่วงที่ต้องมีการสรุปผลการประชุมกลุ่มโดยตัวแทนกลุ่ม ซึ่งปรากฏว่ามีคุณลุงคนหนึ่งที่ลุกขึ้นแล้วขับขานอะไรสักอย่างหนึ่ง คล้าย ๆ บทกลอน แต่ฟังดูก็ไม่ใช่ แต่ไพเราะแปลกหูดี ผมจึงหันไปถามคนข้าง ๆ ถึงชื่อบทขับขานดังกล่าว

ผญา เป็นคำพูดที่ชาวไทยอีสาน ใช้พูดกันเพื่อแสดงถึงภูมิปัญญาของผู้พูด ซึ่งหากไปค้นคว้าผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้น (Search Engine) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า กูเกิ้ล จะพบว่ามีนักวิชาการหลายคนได้ให้ความหมายไว้ อาทิ

ปรีชา พิณทอง ได้ให้ความหมายว่าหมายถึง ปัญญา ความรู้ ความฉลาด คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง

นงลักษณ์ ขุนทวี ให้ความหมายไว้ว่า ผญา เป็นคำภาษาถิ่นอีสาน ตรงกับภาษาไทยกลางว่า ปัญญาหรือปรัชญา เพราะในภาษาถิ่นอีสาน จะใช้เสียง ผ แทนเสียง ป หรือ ปร ในภาษาไทยกลาง เช่น เผด เป็น เปรตโผด เป็น โปรด ผาบ เป็น ปราบ ผาสาด เป็น ปราสาท

สำนักงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้สรุปความหมายของ ผญา ไว้ว่าเป็นคำพูดของนักปราชญ์ถิ่นอีสานโบราณ และเป็นภาษาที่มีอายุมากพอสมควร ผญาเป็นคำที่ถ่ายทอดมาจากคำว่า ปัญญา และปรัชญา ซึ่งอพยพมาตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา นักปราชญ์โบราณอีสานท่านเปลี่ยนจากคำเดิมคือ ปัญญา เป็น ผญา เพื่อความสะดวกหรือเพื่อความเหมาะสมกับภาษาถิ่นก็อาจเป็นได้ ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ดังนั้น คำว่า ผญา ก็คงมีความหมายเช่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน

สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นกาพย์กลอนพื้นเมืองอย่างหนึ่ง ที่แสดงความคิด ปัญญา ความฉลาดหลักแหลมของชาวบ้าน พร้อมกันนั้นก็เป็นคำพูดที่แสดงถึงความมีไหวพรับปฏิภาณอันหนักแน่นระหว่างหนุ่มสาว หญิงชาย ที่ยกขึ้นมาเพื่อถามไถ่เกี่ยวกับความรู้รอบตัว ทัศนคติคุณสมบัติที่มีความรักต่อกัน

เมื่อสืบค้นที่มาที่ไปของผญา ในอาจารย์กูเกิ้ลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่ายากที่จะตัดสินได้ว่ามาจากไหน ใครเป็นผู้ให้กำเนิดหรือริเริ่ม แต่ก็มีผู้รู้และนักวิชาการได้การศึกษาค้นคว้า วิจัย เกี่ยวกับเรื่องนี้และด้สันนิษฐานหรือให้ทัศนะเกี่ยวกับที่มาของผญาไว้ว่าน่าจะมาจาก ๕ ทาง คือ

หนึ่ง ผญาเกิดจากคำสั่งสอนและศาสนาโดยหมายเอาคำสอนของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก ครูบาอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ พ่อแม่ที่มีต่อลูกหลาน ทั้งนี้ก็สืบเนื่องจากคำสอนของศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา สอง ผญาเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี โดยหมายเอา ข้อปฏิบัติที่คนในสังคมอีสานปฏิบัติต่อกันในวิถีชีวิต

สาม ผญาเกิดจากการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว อาจหมายเอาแรงบันดาลใจหรือความรู้สึกภายใจที่อยากจะบอกต่อกันและกัน จึงกล่าวออกมาด้วยคำคมเชิงโวหารภาพพจน์ต่าง ๆ แล้วเกิดการโต้ตอบถ้อยคำแก่กันและกัน

สี่ ผญาเกิดจากการเล่นของเด็กโดยหมายเอา การเล่นกันระหว่างเด็กแล้วมีการตั้งคำถามอย่างเช่น ปริศนาคำทาย แต่แทนที่จะถามโดยตรงกับสร้างเป็นถ้อยคำที่คล้องจองกัน

ห้า ผญาเกิดจากสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์อื่น ๆ ในวิถีชีวิต โดยหมายเอา สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเกิดแรงบันดาลใจให้เกิดถ้อยคำในใจและมีการกล่าวถ้อยคำที่คล้องจองแก่กันและกัน ในโอกาศที่เดินทางไปมาค้าขาย หรือกิจกรรมอื่น ๆ

จากข้อสันนิษฐานข้างต้น จึงเห็นว่าผญานั้นมีความหมายต่อชาวอีสาน ไม่ว่าชาวอีสานอาศัยอยู่สถานที่ใด เมื่อมีกิจกรรมใด ๆ ร่วมกัน หรือสนทนากันในกลุ่ม จะมีการกล่าว ผญาสอดแทรกขึ้นมาเสมอ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ผญามีบทบาทหน้าที่และมีความสำคัญต่อสังคมชไทยอีสานตั้งแต่อตีดจนถึงปัจจุบัน อาจแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ แล้วแต่โอกาสที่จะนำไปใช้ในกิจกรรมนั้น ๆ และสามารถสรุปได้ว่า ผญา หรือคำคม ภาษิตโบราณอีสานนี้ เป็นได้ทั้งคำสอน คำเกี้ยวพาราสี คำปริศนา และคำอวยพร

ที่นี้ลองมาอ่านคำผญาที่ผมขอให้ลุงเขียนให้ผม หลังจากที่ลุงได้ร่ายหรือขับขานผญาจบลงในวันนั้นดูครับ เนื้อหามีอยู่ว่า

“โลกพัฒนาไปหน้า ก้าวเข้าสู่ความเจริญ คนหากเพลินนำใจ คิดสิรวยมีเงินล้าน คิดสิรวยน้ำข้าว กะเอาสารเข้าไปใส่ นาเคยคาดเคยไถ เคยใช้ควายอีตู้ ยามมันขี่ได้เฮ็ดปุ๋ย

ออนซอนเดพี่น้องเอ๋ย เคยขี่ควายกินหญ้าตามคันนา ยามแดดอ่อน เสร็จจากไถคาดแล้ว เที่ยวกินหญ้าเลาะเล็ม สู่มื้อนี้บ่เห็นภาพความทรงจำนั่นแล้ว

หญ้าที่ควายกินผัดเอายาไปฆ่า นาเคยไถควายตู้กะเป็นคูโบต้ามาแทนที่ แอกคาดไถมีบ่แพ้ ทะโยนทิ่มเข้าใส่ไฟ

คิดสิรวยนำอ้อยนำยางผัดม่างถน กูหากคิดมาโดน หนทางรวยมันบ่พอ เกือบตายทิ่มแม่นบ่เห็น คิดสิรวยนำข้าง สองตายายเว้าอ้อม ๆ หัวใส่กินยุ้ม ๆ เงินล้านอยู่แค่วา จงคอยชอมไปหน้าดอนหัวนาสิแปนเป่า

ผักเม็กผักกระโดนผักสมโมง ผักหวานทั้งป่าติ้ว เขาสิย้ายเข้าใส่ไฟ เขาบ่ปราณีเจ้าสิเอายางเข้าไปปลูก คันแทนาเขาสิย้าย เอาอ้อยเข้าใส่แทน

ในน้ำมีปลาในนามีข้าว โบราณเฮาเว้ากันสิบต่อ บาดว่าถึงสู่มือกลับป่นเปลี่ยนไป ในน้ำมีแต่ยา ในนามีแต่อ้อย ฝูงเฮาเห็นแล้วว่าไป่พากันขนเคมีเข้าไปใส่ ปูปลากบเขียดน้อย หอยกะไข้จอยผอม ผมหากชอบมาแล้ว สี่ห้าปีที่ก้าวผ่าน คนกะเจ็บป่วยไข้ ไผหายกะลุกลาม มันหากเถิงยามแล้ว พี่น้องเอยให้ฟ้าวตื่น หันหลังคืนคิดถี่ถ้วน ฐานเค้าพ่อแม่เฮา คันคิดพอเพียงแล้วให้เอาใจตั้งต่อคำว่าพออยู่ที่ใจพ่อนั้น สิสุขล้นลื่นกว่าคน…”

เหล่านี้คือเนื้อหาที่ลุงได้ขับขานในวันนั้น ซึ่งต้องบอกว่าเสียงที่ลุงได้เปล่งออกมานั้นช่างไพเราะ เป็นจังหวะจะโคนและมีพลังเป็นอย่างมาก

นี่คือทุนทางวัฒนธรรมของคนอีสานและของคนไทย ที่เราควรหันมาช่วยกันอนุรักษ์รักษาและทำนุบำรุงไว้ให้ลูกหลานเราได้ยลยินกันไปจนมิมีวันสูญสิ้น

เรามาร่วมกันหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ดีงามเหล่านี้กันเถอะ