๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
มีคนเคยแนะนำผมมานานแล้วว่า หากเครียด ควรหาอะไรมาทำ ปล่อยวาง อย่าพยายามหวนไปคิดถึงเรื่องที่ก่อให้เกิดความเครียดนั้น
วิธีการหนึ่งที่ผมชอบใช้เพื่อแก้ความเครียดนั่นก็คือ “อ่านหนังสือ” วันนี้ผมเลยหยิบหนังสือนิยายที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อจนจบ ใจผมล่องลอยคล้อยตามไปกับตัวอักษรที่โลดแล่นไปตามบรรทัด สัมผัสและรับรสจากวรรณกรรมที่ผู้ประพันธ์และผู้แปลเป็นภาคภาษาไทยได้สรรสร้างและถ่ายทอดออกมาอย่างดูดดื่ม
“ใจไม่สิ้นรัก” ได้ผูกโยงเรื่องราวให้ใจสองดวงที่ต่างหลงทาง อ้างว้างมาหลายชั่วแรมปีโคจรมาพบรักของกันและกันอีกครั้ง “ความรักกับความหลัง” ได้เติมเต็มและเยียวยาความบอบช้ำของเขาและเธอให้อ่อนหวานดังเดิม และเมื่อท้ายที่สุดแล้ว ความรักย่อมมีความหมายมากมายที่หาคำอธิบายได้มิรู้จบ
ความรักของ “อะแมนด้า” กับ “ดอว์สัน” ที่ครั้งหนึ่งเมื่อกว่า ๒๐ ปี เธอและเขาคือคู่รักที่ทุกคนต่างอิจฉา แต่ต้องแยกเส้นทางรักสายนั้นด้วยเหตุผลที่ต่างคนต่างมี ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง พลันดอกไม้ความรักนั้นก็เบ่งบานชูช่อ แต่ด้วย “ศีลธรรม” จึงทำให้ดอกรักดอกนั้นปักอยู่เฉพาะภายในห้องหัวใจเท่านั้น
“อะแมนด้า” คุณแม่สาวสวยวัย ๔๐ ขวบปี ได้แต่งงานกับ “แฟรงค์” ชายที่แม่เลือกให้มากว่า ๒๐ ปี มีลูกสาวและลูกชายอันเป็นที่รักของเธอ รวม ๔ คน ได้แก่ “จาเร็ด” พี่ชายคนโต “ลีนน์” น้องสาวคนรอง “เบอา” น้องชายคนที่สาม และ “แอนเนตต์” ลูกคนเล็ก
ชีวิตคู่ของเธอเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อ “เบอา” มาเสียไปตอนวัยเด็ก “แฟรงค์” เริ่มหันมาดื่มเหล้าเมายา พูดอ้อแอ้เมื่อกลับถึงบ้าน สร้างความเบื่อหน่ายวันละเล็กละน้อยให้กับเธอ
วันนั้นเธอได้รับโทรศัพท์จาก “มอร์แกน แทนเนอร์” ทนายความของ “ทัค” เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เป็นเพื่อนที่เข้าใจชีวิตของเธอเป็นที่สุด ซึ่งรวมถึงเข้าใจถึงความรักระหว่างเธอกับ “ดอว์สัน” ที่มีต่อกันเมื่อกว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา
ทนายความแจ้งให้เธอทราบว่า “ทัค” ได้เสียชีวิตลง และต้องการให้เธอทำอะไรให้กับเขาสักอย่างหนึ่ง เธอจึงเอ่ยปากลาผู้เป็นแม่และลูก ๆ ของเธอ เพื่อเดินทางไปยัง "เมืองโอเรียนทัล” ตามที่ทนายความแจ้งข่าวมา
ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเธอคือบ้านของ “ทัค” หลังนั้นที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางสนามหญ้า ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เหมือนเมื่ออดีตที่เธอกับ “ดอว์สัน” เคยใช้เป็นสถานที่บอกรักกัน เธอหวนคำนึงถึงอดีต คิดถึงความรักที่เธอมีต่อชายคนที่เธอรัก
เธอต้องตื่นจากพะวังเมื่อมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดบนลานหน้าบ้าน เธอค่อย ๆ เพ่งมองชายคนนั้นที่กำลังก้าวลงจากรถและค่อย ๆ เดินย่างก้าวตรงมาหาเธอ ในที่สุดเธอดีใจสุดขีดเมื่อชายคนนั้นก็คือ “ดอว์สัน” คนที่เธอรักและไม่ได้เจอหน้ามากว่า ๒๐ ปี
ทั้งคู่วิ่งเข้าหากัน ต่างโอบกอดกันอย่างดูดดื่มเพื่อทดแทนเวลาที่ห่างหายไป เมื่อตั้งสติได้แล้วทั้งคู่ต่างก็บอกเล่าวิถีชีวิตของตนเองให้กับคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งฟัง
“ดอว์สัน” เล่าให้กับ “อะแมนด้า” ฟังว่า หลังจากที่ “อะแมนด้า” กลับไปแต่งงานแล้ว เขาเองรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก ก็มีเพียง “ทัค” เท่านั้นที่คอยปลอบใจให้ทุเลาลง และวันหนึ่งเขาเกิดขับรถไปชน “หมอบอนเนอร์” เสียชีวิตลง เขาถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา ๔ ปี และเมื่อออกจากคุกเขาสมัครไปทำงานที่แท่นเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งในอ่าวเวอร์มิลเลี่ยน รัฐหลุยเซียนา โดยไม่สนใจสาวคนใดเลย และเมื่อมีรายได้ก็จัดแบ่งส่งมาให้ “มาริลีน” ผู้เป็นภรรยาของ “หมอบอนเนอร์” เพื่อช่วยประทังความเดือดร้อน และชดเชยความผิดที่ตัวเองก่อไว้
เย็นวันนั้น ทั้งคู่พยายามใช้เวลาที่มีอยู่ภายในบ้านของ “ทัค” หลังนั้น กินอาหารด้วยกัน เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่แต่ละคนผ่านมาให้อีกคนหนึ่งฟัง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน และนัดหมายไปพบทนายความในวันรุ่งขึ้น
“มอร์แกน แทนเนอร์” ทนายความ ได้บอกเล่าเจตนาของ “ทัค” ที่มีต่อทั้งคู่ให้ช่วยนำอัฐิไปโปรยที่กระท่อมที่เมือง “แวนเดอเมียร์” พร้อมทั้งมอบจดหมาย ๓ ฉบับให้กับเขาและเธอไป ฉบับหนึ่ง จ่าหน้าซองถึง “ดอว์สัน” อีกฉบับหนึ่ง จ่าถึง “อะแมนด้า” และฉบับที่สาม ไม่ได้จ่าถึงใคร โดยทนายความได้เน้นย้ำว่า ให้ทั้งคู่อ่านจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้าซองก่อนเริ่มพิธีโปรยอัฐิ
ทั้งคู่ตัดสินใจเช่ารถยนต์คันหนึ่งขับมุ่งหน้าไปยังกระท่อมตามที่เพื่อนรักของเขาร้องขอ และเมื่อเดินทางไปถึงทั้งคู่ก็เริ่มพิธี โดยหยิบจดหมายฉบับนั้นมาอ่าน
เนื้อความของจดหมายมีความยาวกว่า ๕ หน้ากระดาษ บรรยายถึงความรักและความเศร้าโศกที่ “ทัค” มีต่อ “คลาร่า” แฟนสาวของเธอที่ตายไปก่อนหน้านี้ “ทัค” ได้ขอร้องให้ทั้งคู่ โปรยเถ้าอัฐิบนสวนดอกไม้รอบบ้าน ซ้ำไปบนเถ้าอัฐิของ “คลาร่า” ที่ “ทัค” โปรยไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้เขาและ “คลาร่า” ได้อยู่ด้วยกัน
ทั้งคู่ช่วยกันโปรยเถ้าอัฐิไปบนร่องสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้ตามคำขอของ “ทัค” ในเนื้อความจดหมาย
หลังจากเสร็จภารกิจ ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะค้างคืนที่บ้านหลังนั้น เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีที่ “ทัค” มีต่อเขาและเธอ ภายในบ้านหลังนั้น ได้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดีทั้งเรื่องอาหาร เครื่องดื่มและที่นอน สะอาดเหมือนมีคนมาจัดเตรียมไว้
ทั้งคู่ใช้เวลาในค่ำคืนนั้น พลอดรักกันและตะกองกอดกันจนรุ่งเช้า
ทั้งคู่บ่ายหน้ามุ่งสู่บ้านของ “ทัค” ที่ “เมืองโอเรียนทัล” และเมื่อมาถึง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของทั้งคู่คือแม่ของเธอ ที่กำลังนั่งรออยู่ เมื่อ “ดอว์สัน” ปลีกตัวไปอีกทางหนึ่ง แม่ของเธอจึงเข้ามาคุยด้วย และบอกกับเธอว่า “อย่าโกหกต่อไปอีกเลย” และกล่าวทิ้งท้ายกับเธอว่า “ไม่ว่าลูกจะทำยังไงกับมัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลูก” ก่อนที่แม่จะเดินจากเธอไป
เธอกล่าวร่ำลา “ดอว์สัน” หลังจากที่ทั้งคู่ปลอบโยนและให้กำลังใจกันอย่างยาวนาน
ก่อนเดินทางกลับ “ดอว์สัน” ได้หยิบจดหมายที่ “ทัค” เขียนถึงมาอ่าน ก่อนขับรถแวะไปยังหลุมฝังศพของ “หมอบอนเนอร์” เพื่อกราบสักการะก่อนเดินทางกลับบ้าน ซึ่งก็ได้พบ “มาริลีน” ภรรยาของ “หมอบอนเนอร์” เมื่อทั้งคู่เจอกัน “มาริลีน” ได้ขอร้องให้ “ดอว์สัน” อย่าลงโทษตัวเองมากมายขนาดนั้น
ทางฝ่าย “อะแมนด้า” เมื่อขับรถผ่านสุสานแห่งนั้น หันไปเห็น “ดอว์สัน” กำลังยืนอยู่หน้าหลุมศพ หัวใจเธอเรียกร้องอยากพบเขาอีกสักครั้ง เธอคิดอยู่นานว่าจะลงไปหาเขาดีไหม แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน เมื่อเธอเหนื่อยเธอจอดรถพัก แล้วก็หยิบจดหมายที่ “ทัค” เขียนถึงมาอ่าน เนื้อหาในจดหมายบ่งบอกถึงความรักที่เขามีต่อเธอและให้กำลังใจในการตัดสินใจอย่างมีสติ
ระหว่างที่เธอขับรถกลับด้วยดวงใจที่เหม่อลอย พลันเธอต้องสะดุ้ง เมื่อมีสายเรียกเข้ามายังมือถือเธอ ข้อความปลายสายบอกกับเธอว่า “จาเร็ดและแฟรงค์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล” เธอตกใจสุดขีด รีบบึ่งรถยนต์ไปยังโรงพยาบาลทันที
ทางฝ่าย “ดอว์สัน” หลังจากล่ำลา “มาริลีน” แล้ว ก็มุ่งหน้าขับรถกลับบ้าน สมองก็คิดถึงเรื่องราวของหัวใจของเขาที่มีต่อ “อะแมนด้า” พลันความคิดแวบหนึ่งก็มาแทรกความคิดให้หยุดลง “เขาลืมจดหมายทิ้งไว้ที่บ้านของทัค” เขาตัดสินใจเลี้ยวรถกลับทันที
เขาค่อย ๆ ขับรถมาตามถนน จนถึงหัวโค้งแห่งนั้น เป็นหัวโค้งที่เขาขับรถชน “หมอบอนเนอร์” สายตาเขาเห็นชายคนหนึ่งยินอยู่ เมื่อเขาขับรถไปใกล้ ๆ เขารู้สึกคุ้น ๆ กับชายคนนั้น เขารีบเดินลงไปหาร่างของชายคนนั้น แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นก็ถอยหนี เขาออกวิ่งร่างนั้นก็วิ่งทิ้งระยะห่าง เขาแปลกใจเขาพยายามวิ่งให้เร็วขึ้น ร่างนั้นก็วิ่งเร็วขึ้น ทั้งคู่วิ่งตามกันไป จนในที่สุดก็มาถึง บาร์แห่งหนึ่ง
เขาได้ยินเสียงอึกทึกภายในบาร์ตามติดด้วยเสียงปืน เขารีบก้าวเท้าเข้าไปในบาร์แห่งนั้น ภาพที่ปรากฏต่อสายตาเขาคือภาพของ “เท็ค” กับ “เอบี้” อันธพาล กำลังทำร้าย “อลัน”
“ดอว์สัน” จำได้ว่า “อลัน” คือลูกชายของ “หมอบอนเนอร์” เขารีบเข้าไปช่วยจัดการกับอันธพาลทั้งคู่ จนหมอบราบคาบไป และพา “อลัน” ออกมาจากบาร์ได้ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวพ้นประตูของบาร์แห่งนั้น เขาต้องล้มลงเมื่อสิ้นเสียงปืนที่ “เท็ค” คว้าขึ้นมาจากพื้นและเล็งส่องไปยังเขา
ทางฝ่าย “อะแมนด้า” เมื่อมายืนอยู่หน้าห้องไอซียู เดินไปเดินมา ใจก็เฝ้ารอคำตอบจากพยาบาลหรือแพทย์ที่ช่วยชีวิตลูกชายและสามีของเธออย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งพยาบาลรายหนึ่งเดินออกมา จึงรู้ว่าสามีของเธอปลอดภัย และลูกชายเธออาการหนักมาก
หัวใจเธอแทบสลายเมื่อ “หมอมิลล์” แพทย์ผู้รักษาลูกชายเธอออกมาจากห้องแล้วบอกกับเธอว่า “อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้หัวใจของลูกชายของเธอรั่ว คาดว่าลิ้นหัวใจไตรคัสปิดอาจถูกทำลาย และต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ”
เธอแทบล้มทั้งยืน ในใจนึกเกลียดสามีของเธอมากขึ้น อีกความรู้สึกหนึ่งก็สับสนไม่รู้จะทำอะไรดี เธอเซ็นชื่อในใบยินยอมไปโดยไม่รู้ตัว
หลายชั่วโมงผ่านไป จนเวลาเที่ยงคืนยี่สิบนาทีของวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเธอ แพทย์คนเดิมก็เดินมาพบกับเธอ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ลูกคุณ หัวใจจะล้มเหลว ถ้าไม่มีการแทรกแซง ไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ได้อีกนานมั้ย”
เธอเหมือนโดนกำปั้นต่อยท้อง ก่อนจะที่ตะโกนอ้อนวอนขอให้หมอชีวิตลูกของเธออย่างเต็มกำลัง
“หมอมิลล์” เอ่ยปากกับเธอว่า คงจะต้องเรียกประชุมกรรมการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ซึ่งที่ผ่านมากรณีแบบนี้น้อยมากจะได้รับการอนุมัติ
แต่นับว่าเธอยังโชคดีที่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง “หมอมิลล์” ก็เดินมาบอกกับเธอว่าคณะกรรมการยินยอมให้เปลี่ยนหัวใจได้ คำตอบที่ได้รับทำให้เธอกระโดดสุดตัวด้วยความดีใจ แต่เมื่อหมอบอกให้เธอรอว่าจะมีหัวใจที่เปลี่ยนและเข้ากับลูกชายเธอ ทำให้เธอกลับมาอยู่ในอาการสับสนดังเดิม
นานนับสิบชั่วโมง “หมอมิลล์” ก็เดินเข้ามาบอกกับเธอว่า “เจอหัวใจที่เข้ากัยนได้แล้ว นับเป็นโอกาสหนึ่งในล้านซึ่งผ่านเข้ามา”
อะแมนด้ารูสึกว่าอะดรีนาลีนฉีดพล่านไปทั่วกาย ทุกเส้นประสาทตื่นตัว เมื่อสิ้นเสียง “หมอมิลล์” ที่พูดว่า
“หัวใจจากผู้บริจาค ตอนนี้กำลังถูกส่งมาที่โรงพยาบาล และมีกำหนดเวลาผ่าตัดกันแล้ว”
สองปีผ่านไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้น “จาเร็ด” เข้ามาคุยกับแม่ของเขา พร้อมกับเอ่ยปากบอกแม่ของเขาว่า “อยากจะส่งจดหมายไปให้ครอบครัวของผู้บริจาคหัวใจให้เขา”
“อะแมนด้า” หลุบตาต่ำลง เอ่ยปากตอบลูกชายเขาไปว่า “เป็นกระบวนการที่ต้องสงวนชื่อผู้บริจาคไว้” ก่อนที่จะเอ่ยกับลูกชายของเธอว่า “ขอแม่กอดหน่อยสิลูก”
“จาเร็ด” โผเข้าสู่อ้อมกอดแม่เธอ “ผมรักแม่ฮะ” เขาพึมพำกอดเธอแน่น
“อะแมนด้า” หลับตาลง รู้สึกถึงจังหวะของหัวใจที่สม่ำเสมอในอกของลูกชาย ความคิดหวนคิดไปถึงคำพูดของ “มอร์แกน แทนเนอร์” ที่โทรมาบอกว่า “ดอว์สัน” คือเจ้าของหัวใจที่ช่วยเหลือลูกชายเธอไว้ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “แม่ก็รักลูกจ๊ะ”
ขอบคุณ “วรางคณา เหมศุกล” ผู้แปลนิยายรักโรแมนติกแสนเศร้านาม “ใจไม่สิ้นรัก” และ “นิโคลัส สปาร์ค” ผู้ประพันธ์จากต้นฉบับเรื่อง “The Best of Me” ไว้อย่างซาบซึ้ง จนผมบรรจงอ่านจนจบในค่ำคืนนี้ และได้สลายความเครียดที่ประเดประดังเข้ามาได้จนเกือบหมดสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น