วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อีกก้าวหนึ่งขององค์กรประชาสังคม

๙ สิงหาคม ๒๕๕๘

แม้นจะเป็นวันอาทิตย์ ที่เป็นวันหยุดพักผ่อนของคนส่วนใหญ่ แต่ภายในห้องประชุมชั้น ๓๔ ของตึกเอสเอ็มทาวเวอร์ ที่ตั้งอยู่หน้าสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ สนามเป้า หมู่มวลสมาชิกกลุ่มหนึ่ง เกือบ ๓๐ ชีวิต ได้ใช้เวลาของวันหยุดนี้มานั่งประชุมปรึกษาหารือพูดคุยกันในเรื่องสำคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กรภาคประชาสังคม

และผมก็เป็นคนหนึ่งในหมู่มวลกลุ่มนั้น

เรื่องที่พวกเราพูดคุยกันคือ เรื่อง "การส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม"

เหตุผลสำคัญที่ต้องมาพูดคุยก็คือ รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพลเอกประยุทธ รสโอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ เห็นชอบต่อ "ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ...." ตามที่รองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ เป็นผู้เสนอ

สาระสำคัญของระเบียบฉบับนี้ คือ ให้มีการจัดตั้ง "คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม" (คสป.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ มีรัฐมนตรีตัวแทนหน่วยงาน และผู้ทรงวุฒิ ร่วมเป็นกรรมการ

ความสำคัญของกรรมการชุดนี้ คือ การส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชน ชุมชน รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ขององค์กรภาคประชาสังคม

และยังรวมถึงเรื่องของการสนับสนุนการศึกษาวิจัย การฝึกอบรม การพัฒนาศักยภาพและธรรมาภิบาลขององค์กรภาคประชาสังคม การจัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูลองค์กรภาคประชาสังคม และการจัดทำนโยบายสาธารณะที่เสนอโดยองค์กรภาคประชาสังคม

ตลอดจนการจัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับบทบาทขององค์กรภาคประชาสังคมในการพัฒนาประเทศ การติดตามและประเมินผลและการรายงานผลการดำเนินงาน รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคอีกด้วย

สรุปแบบง่าย ๆ ก็คือ จะมีกลไกระดับชาติที่มาทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็งในการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ของสาธารณะอย่างเป็นระบบ เป็นรูปธรรม ซึ่งแท้จริงแล้วประเทศไทยมีขบวนขององค์กรภาคประชาสังคมที่เข้ามาร่วมอภิบาลและพัฒนางานทางสังคมมาอย่างยาวนาน แต่การทำงานในอดีตนั้นเป็นไปในลักษณะ “การช่วยเหลือกันเอง”

จึงนับเป็นอีกก้าวหนึ่งของวงการภาคประชาสังคม ที่นับต่อจากนี้ไป ประเทศไทยเราได้กำเนิดกลไกที่มีบทบาทหน้าที่หนุนเสริมองค์กรภาคประชาสังคมเป็นตัวเป็นตนโดยฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ทำคลอด

ผมทราบว่ากว่าที่จะมีมติคณะรัฐมนตรีนี้ออกมา มีพัฒนาการการขับเคลื่อนมายาวนานกว่าเกือบ ๒ ปี ซึ่งผมคิดว่า

"ช่วงเวลาที่ผ่านไปนั้นเกิดผลคุ้มค่าต่อความเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทของกลุ่มคนผู้ก่อการดีครั้งนี้ เพราะท่านได้วางปักหมุดวางฐานให้กับกลไกภาคประชาสังคมของประเทศ ที่ถือว่าเป็นกลไกหนึ่งที่มีบทบาทในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากลไกภาครัฐเรียบร้อยแล้ว"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น