วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เรือนรักแรมใจ

๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๗

“เคธี” อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ “โจ” เป็นพิเศษ ชีวิตระหกระเหมาอยู่ต่างถิ่นคนเดียวในเมืองเซาท์พอร์ต แห่งนี้ ความอบอุ่นใจจากการมีเพื่อนข้างกาย ซึ่งอาศัยอยู่ที่กระท่อมหลังถัดไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมิใช่น้อย ชีวิตปกติสุขกลับมาเยือนอีกครั้ง บางวันทั้งคู่มานั่งจิบกาแฟด้วยกัน พูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่กัน จนทำให้เธอ “ลืม” เรื่องราวที่ผ่านมาได้ชั่วขณะ

เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอต้องเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่มีเพื่อน ไม่พูดคุยสนิทสนมกับใคร ใช้ชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียรด้วยการทำงานเป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทุก ๆ วันเธอจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานทั้งในช่วงเวลางานของตนเองและทำแทนเพื่อนหากเพื่อนไม่ว่าง ทั้งนี้เพื่อหวังทิปจากแขกเหรื่อที่มาทานอาหาร

เธอหวังเพียงว่ากำแพงใจที่เธอก่อขึ้นมา จะช่วยทำให้ชีวิตอยู่รอดและราบรื่นปลอดภัย

เพราะเหตุการณ์วันนั้น ทำให้เธอต้องตัดสินใจหนีจาก “เควิน” สามีซึ่งเป็นตำรวจด้านสืบสวนสอบสวน ที่มักใช้ความรุนแรงและจำกัดสิทธิต่าง ๆ นานากับเธอเสมอมา มาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้แบบโดดเดี่ยวและใช้ชีวิตระแวดระวัง ไม่ให้สามีตามสืบเสาะมาเจอได้

“โจ” มาทำให้ชีวิตเธอสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง พร้อม ๆ กับแนะนำให้เธอเปิดใจรับ “อเล็กซ์” พ่อหม้ายลูกติด ๒ คน ที่เป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็ก ๆ ในเมืองนั้น

เป็นเพราะเธอต้องไปซื้อของที่ร้าน “อเล็กซ์” บ่อย ๆ การพบเจอบ่อยครั้งทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่สนิทแนบแน่นมากขึ้น จนเขากล้าตัดสินใจชวนเธอไปเที่ยว ไปทานอาหาร วานให้ไปช่วยดูแลลูกทั้งสองในวันที่เขาไม่อยู่

เธอรับรู้ได้ดีถึงการปะทะกันระหว่างความรู้สึกก้นบึ้งหัวใจที่ตนเองยังคงมีสามีอยู่ กับอำนาจแห่งรักครั้งใหม่ที่ก่อตัวกรุ่นขึ้นในห้วงใจนี้

ข้างฝ่าย “เควิน” เมื่อภรรยาหนีจากไป เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับและหันมาพึ่งเหล้าเป็นเพื่อน จนส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานและถูกพักงาน

เขาพยายามแกะรอยสืบหาว่าเธอหนีไปอยู่ที่ไหน จนวันหนึ่งทุกอย่างก็เปิดเผยเมื่อเพื่อนบ้านที่สนิทกับภรรยาได้มาส่งข่าวถึงเธอว่า แม่ของเธอได้เสียชีวิตแล้ว และอยากให้เธอไปร่วมงานเพราะหน้าตาของภรรยาเขาละหม้ายคล้ายคลึงกับบุตรสาวอีกคน ทำให้แม่ของเพื่อนบ้านจึงชอบภรรยาเขาเป็นพิเศษ

วันนั้นความจริงจึงถูกเปิดเผยว่า “เคธี” คือ ชื่อใหม่ของภรรยา หรือในชื่อเดิมว่า “เอริน” และนั่นทำให้เขาไม่เคยสืบหาเธอเจอเลย

“เควิน” จับรถคู่ใจมุ่งหน้าสู่เมืองที่ภรรยาพักอาศัยอยู่ เขาเห็น “เคธี” เดินเกาะเกี่ยวไปกับ “อเล็กซ์” และลูกทั้งสองในงานเทศกาลประจำปีที่จัดขึ้น

เขารู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นที่เห็นภาพบาดตาบาดใจนั้น พยายามขับรถไล่ตามคนทั้งสี่ที่กำลังขี่จักรยานกลับบ้าน แต่ด้วยการจราจรที่ติดขัดเนื่องจากมีผู้คนมาเที่ยวงานกันหนาแน่น จึงทำให้เขาคลาดกับคนทั้งสี่ไป

“เควิน” ตามหาคนทั้งสี่จนหมดแรง จนเขามองเห็นร้านค้าแห่งหนึ่งจึงตัดสินใจขับรถเข้าไปจอดพักและตั้งใจจะลงไปดื่มน้ำจากท่อประปาที่ติดตั้งอยู่หน้าร้าน พลันสายตาเขาก็เหลือบเห็นจักรยานทั้งสี่คันจอดเรียงรายอยู่ที่มุมหนึ่ง

เขาเพียรพยายามหาทางที่จะเข้าไปในร้านให้ได้แต่ก็ไม่พบทางเข้าใด ๆ จนหัวสมองสั่งว่า “เผา” เขาจึงทุบกระจกร้านค้าแล้วหยิบถังน้ำมันมาราดและจุดไฟเผาบ้านทันที

ค่ำคืนนั้น “อเล็กซ์” มีงานด่วนที่จะเดินทางไปต่างเมือง จึงขอร้องให้ “เคธี” มาอยู่เป็นเพื่อนลูกของเขา

หลังจากที่ “เคธี” พาลูกทั้งสองเข้านอนแล้ว ตัวเธอเองก็มานั่งรอ “อเล็กซ์” ที่โซฟา ที่สัญญาว่าจะกลับก่อนเที่ยงคืน จนเผลอหลับไป และความรู้สึกช่วงหนึ่งคลับคล้ายว่า “โจ” เพื่อนสนิทมาบอกกับเธอว่า “ตื่นเถิด”

เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พร้อมกับได้กลิ่นควันไฟที่โชยขึ้นมาในห้อง เมื่อรู้ว่าไฟกำลังไหม้ เธอรีบเข้าไปปลุกเด็กทั้งสองคนให้ตื่น ฉีกผ้าห่มพันร่างกาย และให้เด็กทั้งคู่กระโดดลงไปที่ชั้นล่าง ก่อนที่เธอจะกระโดดตามลงไป

แม้ว่าทั้งสามจะปลอดภัยจากพายุไฟที่โหมกระหน่ำ แต่ภาพตรงหน้า ก็คือ “เควิน” ถือปืนที่พร้อมจะลั่นไก เธอตัดสินใจเขาไปกอด “เควิน” พยายามบ่ายเบี่ยงและโน้มน้าวให้เขาวางปืนลง และเมื่อมีจังหวะเธอก็ฟาด “เควิน” ด้วยก้านเหล็กที่เก็บได้แถวนั้นอย่างแรงจนปืนกระเด็นหลุดมือไป พร้อมกับตะโกนให้เด็กทั้งสองคนวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด

“อเล็กซ์” รีบขับรถกลับบ้าน แต่ภาพที่เห็น คือ เปลวไฟกำลังลุกไหม้ร้านของตน เขาตกใจเพราะคิดว่า “เคธี” และลูกทั้งสองของเขาตกอยู่ในกองเพลิงนั่นเสียแล้ว

เมื่อสายตาชินกับความมืด เขาเห็นเด็กสองคนกำลังเกาะมือกันวิ่งมาทางเขา เขารีบพาลูกไปที่กระท่อมของ “เคธี” แล้วรีบกลับไปรับเธอ

แต่ในขณะที่ “อเล็กซ์” กำลังจะเดินไปหา “เคธี” เขาก็ล้มลงด้วยแรงฟาดอย่างแรงที่ “เควิน” ทุ่มสุดตัว

“เคธี” ตัดสินใจหยิบปืนที่เก็บมาได้ เล็งไปที่ “เควิน” แต่ยังไม่ทันเหนี่ยวไก “เควิน” ก็ค่อย ๆ ทรุดลง เพราะทนพิษบาดแผลจากก้านเหล็กที่โดนตีไปก่อนหน้านั้นไม่ไหว

ทั้งคู่ถูกนำเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล อาการของ “เคธี” ดีขึ้นจนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่เธอกลับเลือกเฝ้าดูอาการของ “อเล็กซ์” อย่างใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วงแทน

อาการ“ อเล็กซ์” ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อออกจากโรงพยาบาลทั้งสี่คนมาขออาศัยที่บ้านของเพื่อนรักแทน

วันนั้น “อเล็กซ์” และ “เคธี” ชวนกันมาดูซากกองเพลิงที่ร้านของเขา และขอร้องให้หน่วยเก็บหลักฐานค้นหาตู้เซฟใบหนึ่ง จนพบ

เขารีบเปิดตู้เซฟใบนั้น และค่อย ๆ หยิบซองจดหมายสีขาวส่งให้กับ “เคธี” พร้อมกับบอกว่า ขอให้เอาไปอ่านที่บ้านด้วยในคืนนี้

เมื่อกลับมาถึงกระท่อม “เคธี” ตั้งใจจะชวน “โจ” มาคุยด้วย แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลายเป็นกระท่อมร้าง ที่เต็มไปด้วยหยากไย่ เหมือนไม่มีคนมาอยู่นานหลายปี ทั้ง ๆ ที่กระท่อมหลังนี้ คือ กระท่อมหลังที่ “โจ” พักอยู่

เธอเดินเข้ากระท่อมตนเองด้วยความงุนงง และค่อย ๆ หยิบซองจดหมายที่ได้รับออกมาอ่าน

จดหมายฉบับนี้เขียนโดย “คาร์ลี” ภรรยาของ “อเล็กซ์” ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต

“ฉันชื่อคาร์ลี่ แต่คนส่วนใหญ่จะเรียกฉันว่า “โจ””

“เคธี” ตกใจและมึนงงกับข้อความดังกล่าวมาก เธอพยายามอ่านจดหมายด้วยมืออันสั่นเทา เนื้อหาในจดหมายได้แสดงความดีใจต่อคนที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้ เพราะเป็นจดหมายที่ “อเล็กซ์” ได้ตัดสินใจแล้วที่จะมอบให้กับคนที่เขารัก ตามสัญญาที่ “อเล็กซ์” ได้ให้ไว้กับ “คาร์ลี”

“เคธี” ค่อย ๆ อ่านจดหมายไปอย่างช้า ๆ พร้อม ๆ กับความรู้สึกที่ได้โบยบินไปหา “อเล็กซ์” และแก้มทั้งสองก็เปอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา

เธอค่อย ๆ พับจดหมายใส่ซองเมื่ออ่านจบ และหันไปมองกระท่อมหลังที่ “โจ” เคยพักอยู่

“ขอบใจนะที่ไว้ใจฉัน” เป็นเสียงที่เธอกระซิบออกมาจากหัวใจ

“น้องวิน” ลูกรัก ลูกคงแปลกใจที่พ่อขึ้นต้นจดหมายฉบับนี้แบบนี้ เพราะทุก ๆ ครั้งที่พ่อหยิบหนังสือของ “นิโคลัส สปารคส์” (NICHOLAS SPARKS) นักเขียนที่พ่อชื่นชอบมาอ่านครั้งใด ดูราวกับพ่อจะจมดิ่งหายไปในทะเลอักษร และดื่มด่ำกับอรรถรสที่เรียงถ้อยร้อยคำผ่านนักแปลนามอุโฆษ “จิระนันท์ พิตรปรีชา”

กับหนังสือเล่มล่าสุดนี้ที่พ่ออ่านนี้แปลมาจากเรื่อง “Safe Haven” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “เรือนรักแรมใจ”

พ่ออ่านจนจบและซาบซึ้งไปกับความรักของคนทั้งคู่ แม้ว่าเนื้อเรื่องจะนำเสนอแบบสลับไปสลับมาสองสถานที่ และสลับอดีตกับปัจจุบันย้อนกลับไปกลับมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอ่านสับสนแต่อย่างใด ถือเป็นกลวิธีการเขียนที่แยบคายน่าติดตามยิ่งนัก

อีกทั้งแต่ละฉากแต่ละตอน ช่างชวนอ่านจนพ่อวางหนังสือไม่ลง นับเป็นความรักที่แปลกไปอีกมิติหนึ่ง ที่มีความผูกพันไปถึงคนที่ตายไปแล้ว เป็นการอ่านที่ทั้งสนุก ระทึก แอบซึ้ง แอบหลอน ไปพร้อม ๆ กัน

พ่อซื้อหนังสือเล่มนี้มา และวางไว้ให้แล้วบนชั้นหนังสือ ลูกอย่าลืมบอกแม่ให้อ่านเล่มนี้ด้วยนะครับ ว่าไปแล้ว “ความรัก” ชนะได้ทุกสิ่งอย่างนะลูก

คิดถึงน้องวินเสมอมาครับ

“พ่อโต”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น