วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

หมากรัก หมากชีวิต

๑๔ กันยายน ๒๕๕๗

ไม่น่าเชื่อว่า “หมากล้อม” กีฬาขึ้นชื่อและนิยมเล่นกันของชนชาติเอเชียตะวันออก จะกลายเป็นเครื่องมือสืบความลับของประเทศหนึ่งที่ต้องการครอบครองอีกประเทศหนึ่ง อีกทั้งยังทำให้คนสองคนที่มีพื้นเพที่แตกต่างกัน กำเนิดบนพื้นแผ่นดินที่เป็นอริกัน ได้มาพบกันและก่อเกิดความสัมพันธ์ทางใจต่อกันจนรักกัน และยอมตายไปพร้อมกัน

“หมากรัก หมากชีวิต” แปลมาจากต้นฉบับของ “เหยียนหนี” หรือเจ้าของนามปากกา “Shan Sa” จากหนังสือเรื่อง La Joueuse De Go ที่เป็นภาษาฝรั่งเศส และ “อรจิรา” ได้หยิบมาแปลเป็นภาษาไทยด้วยสำนวนที่พริ้วไหวซึมซับไปด้วยไออวลแห่งความสนุก ตื่นเต้น และชวนสิเน่หา น่าติดตามจนวางไม่ลง

ผู้เขียนได้สมมติตัวเองเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยใช้คำว่า “ผม” และ “ฉัน” แทน ทำให้แม้อ่านจนจบแล้ว คนอ่านก็ยังไม่รู้จักชื่อตัวละครทั้งสองแม้แต่น้อย

เรื่องราวในหนังสือนำเสนอสลับกันไปมาคนละฉากระหว่างชีวิตของ “ผม” กับชีวิตของ “ฉัน” ทำให้เมื่ออ่านไปจึงรู้สึกสนุกและได้รับอรรถรสที่แปลกใหม่ โดยเฉพาะฉากที่ตัวเอกทั้งสองพบเจอกัน ฉากหนึ่งจะบรรยายความรู้สึกของ “ฉัน” ในขณะที่อีกฉากหนึ่งบรรยายความรู้สึกของ “ผม” ในสถานการณ์เดียวกัน

“หมากล้อม หมากชีวิต” เป็นเกล็ดหนึ่งทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี ๑๙๓๘ ที่จักรพรรดิปูยีแห่งราชวงศ์ชิง ถูกพรรคก๊กมินตั๋งโค่นล้ม จนต้องอพยพไปอยู่ที่เมือง “ซินจิง” หรือเมือง “ฉางชุน” ที่ประเทศ “แมนจูเรีย” โดยรัฐบาลญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือ โดยหวังจะยึดประเทศจีน จึงสนับสนุนให้ปูยีเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดเพื่อรอวันกลับมาปกครองจีนต่อไป

รัฐบาลได้ส่งทหารเข้ามายังประเทศแมนจูเรียเต็มไปหมด เพื่อรอวันยกทัพเข้าสู่ประเทศจีน ทุกยุทธวิธีทุกยุทศาสตร์ถูกหยิบมาใช้ ซึ่งรวมถึงการส่งทหารให้ปลอมตัวเป็นคนจีนทำหน้าที่เป็นสายลับในย่านต่าง ๆ และทหารญี่ปุ่นรูปงามคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ “ผม” ในนวนิยายเรื่องนี้ก็ได้รับมอบหมายให้ไปสืบราชการ ณ บริเวณ “จัตุรัสเชียนฟง” ที่มีลานกว้างใช้สำหรับให้บรรดานักเล่นหมากล้อมมาปะทะฝีมือกัน

ข้างฝ่ายสาวน้อยชาวจีนที่ชื่นชอบกีฬา “หมากล้อม” เป็นชีวิตจิตใจ ก็จะมายังลานกว้างของ “จัตุรัสเชียนฟง” เพื่อประลองฝีมือในกีฬาชนิดนี้อยู่เป็นประจำ

ด้วยความน่ารักของสาวน้อยชาวจีนผู้นี้ ทำให้มีชายหนุ่มเข้ามาเกี่ยวข้องเชิงรักใคร่อยู่หลายคน ทั้ง “พี่ลู่” ผู้ที่คอยสอนการเล่น “หมากล้อม” มาตั้งแต่เธอมีอายุได้เพียงสี่ขวบ และคอยติดสอยห้อยตามเขาไปเล่นหมากล้อมนี้มาโดยตลอด

“หมิ่นฮุย” ชายหนุ่มรูปงามที่เธอพบระหว่างเดินทางไปโรงเรียน เป็นชายอีกคนหนึ่งที่เธอหลงรัก จึงคอยหาโอกาสมาแอบมองชายผู้นี้อยู่บ่อย ๆ และในที่สุดทั้งคู่ก็นัดหมายกันไปพลอดรักกันหลังโรงเรียนเลิกบนยอดเขา “ชีอวิ้น” กันอยู่หลายครั้ง

“จิงฉี่” ชายหนุ่มรุ่นพี่ในโรงเรียน ที่คอยปั่นจักรยานรับส่งเธอไปโรงเรียน แม้ภายหลังที่ “จิงฉี่” ได้พบภาพการพลอดรักของเธอกับ “หมิ่นฮุย” แต่ “จิงฉี่” ก็ไม่ได้ลดถอยความมุ่งมั่นที่จะครอบครองเธอน้อยลงเลย เขาพยายามตามจีบเธอในยามที่มีโอกาสตลอดมา

ด้วยความรักที่เธอมีต่อ “หมิ่นฮุย” เธอจึงเอ่ยปากชวนเขาแต่งงาน แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ ขอให้รอไปก่อนเพราะภารกิจเพื่อชาติสำคัญกว่า เขากำลังรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ต่อต้านและขับไล่ทหารญี่ปุ่นออกไปจากประเทศ

ข่าวร้ายที่ “จิงฉี่” นำมาบอกกับเธอในวันหนึ่งก็คือ “หมิ่นฮุย” ถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวไปสอบสวนในโทษฐานต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น และได้รับโทษประหารชีวิตโดยการยิงเป้า ณ ลานประหารใจกลางเมือง ซึ่งสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก เธอดั้นด้นเดินทางไปยังแดนประหาร แต่ก็ทำได้เพียงประสานสายตาเพียงชั่วครู่กับ “หมิ่นฮุย” ก่อนที่ลูกปืนจะตัดขั้วหัวใจส่งวิญญาณให้ลอยออกจากร่างเขาไป

เธอมารู้ตัวว่า “ตั้งครรภ์” หลังจาก “หมิ่นฮุย” จากโลกนี้ไปไม่นาน ด้วยความเกรงกลัวต่อครอบครัวที่เธอพักอาศัยอยู่ ทำให้เธอตัดสินใจทำแท้งด้วยการกินยาขับเลือด จนเธอเสียเลือดไปมากทำให้ร่างกายทรุดโทรมและอ่อนแอลง

ภาพของเธอไม่ได้ถูกละเลยไปจากสายตาของทหารหนุ่มญี่ปุ่นที่ปลอมตัวมาเล่น “หมากล้อม” กับเธอในทุกช่วงเย็นแต่อย่างใด

“เขา” และ “เธอ” เมื่อได้มาเล่น “หมากล้อม” ด้วยกันบ่อยครั้ง ค่อย ๆ ก่อเกิดความสัมพันธ์ทางใจเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน วันใดที่มีความทุกข์ ความเหงา เขาหรือเธอก็จะมานั่ง ณ ลานกว้างของจัตุรัสเชียนฟงแห่งนั้น คำพูดที่ทั้งสองคุยกันนั้นนับคำได้ โดยรวมการนัดหมายในวันรุ่งขึ้นในบทสนทนาด้วยทุกครั้ง

ในเย็นวันนั้นหลังจากที่เธอพอพยุงร่างกายหลังจากการเสียเลือดอย่างหนักลุกขึ้นเดินได้ เธอมานั่งรอเขา ณ จุดนัดหมาย และเมื่อได้ประลอง “หมากล้อม” กันจนจบเกมแล้ว เธอได้เอ่ยปากชวนเขาให้พาเธอหนีออกจากเมือง “ฉางชุน” แต่คำตอบที่เธอได้รับคือการปฏิเสธ เพราะบทบาทหน้าที่ทางการทหารที่เขารับผิดชอบอยู่

เธอเสียใจมาก จึงตัดสินใจหนีตามไปกับ “จิงฉี่” คนที่แอบรักเธอ แล้วมาเอ่ยปากชวนเธอให้เดินทางไปยังเมือง “เป่ยผิง” ที่อยู่ทางตอนใต้ของเมือง “ฉางชุน” แต่ด้วยความที่เธอไม่ได้รัก “จิงฉี่” ที่แท้จริง เธอจึงปลอมตัวเป็นชายแล้วตัดสินใจหนีออกจากห้องพักของโรงแรมเล็ก ๆ ในเมือง “เป่ยผิง” หลังจากที่ “จิงฉี่” หลับลง

ข้างฝ่ายทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่น หลังจากปฏิเสธคำเชิญชวนของสาวน้อยให้พาเธอหนีไปแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปยังจัตุรัสเชียนฟงอีก และในไม่กี่วันต่อมาเขาถูกคำสั่งให้เดินทางร่วมกับทหารชุดหนึ่งไปคุมสถานการณ์ที่เมือง “เป่ยผิง” อันเป็นเมืองเกือบร้างหลังจากที่ทหารญี่ปุ่นบุกเข้าโจมตีและยึดครองมาก่อนหน้านี้ไม่นาน

ในเช้าวันนั้นเขาได้รับรายงานจากพลทหารว่าได้จับสายลับได้คนหนึ่ง เขาสั่งให้นำสายลับคนนั้นเข้ามาเพื่อตัดสินโทษ ภาพที่เขาเห็นคือหนุ่มน้อยผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่แขนได้รับบาดเจ็บ สวมใส่ชุดนักศึกษาหลวมโพรก เขาก้มหน้าดูพื้นขบฟันแน่นไม่ส่งเสียง

เขาตะโกนสั่งการว่า “ไม่ต้องสอบสวน ให้ยิงเป้าทิ้งให้หมด” ทำให้ทหารหลายรายยกปืนขึ้นเล็งไปที่ร่างของหนุ่มน้อยนั้น

“ฮายาชิ” เพื่อนทหารของเขายกมือขึ้นให้ทหารทุกคนหยุดยิง ก่อนที่จะก้าวออกไปพร้อมกับจับดาบด้วยสองมือยกขึ้นเหนือหัว หวังจะประหารโดยใช้ดาบแทนปืน

นักโทษค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ทำให้ทหารหนุ่มญี่ปุ่นคนนั้นตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนตะโกนออกมาว่า “หยุดก่อน” พร้อมกับพุ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น ใช้แขนเสื้อเช็ดคราบฝุ่นที่เปื้อนติดอยู่บนใบหน้า เขาจำรอยกระเป็นจุด ๆ ของเธอได้

“อย่าแตะต้องตัวฉัน” เป็นเสียงตะโกนออกมาจากปากของนักโทษหนุ่ม และเสียงนี้เองที่ทำให้ทุกคนที่ล้อมวงอยู่รู้ว่า “เป็นผู้หญิง”

เมื่อรู้ว่าเป็นผู้หญิง “ฮายาชิ” รีบก้าวออกไปจับเธอพร้อมกับตะโกนว่า “เป็นผู้หญิง ให้จัดการเธอก่อน” พร้อมกับเตรียมปลดเข็มขัดของตนลง แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะมีปลายกระบอกปืนมาจ่ออยู่ข้างหลัง

ทหารทุกคนยอมหลีกทางให้กับทหารหนุ่มผู้เป็นหัวหน้า โดยหวังจะต่อคิวหลังจากที่เขาจัดการกับหญิงคนนั้นเรียนร้อยแล้ว เขาพาเธอไปยังศาลร้างที่อยู่ตรงข้าม เขาค่อย ๆ ถอดเสื้อนอกออกคลุมปิดสองขาที่เปลือยเปล่าของเธอ ร่างของเธอสั่นไปทั้งตัว

เขาค่อย ๆ เอ่ยว่า “อย่ากลัวไปเลย”

เสียงนี้ทำให้เธอสับสน ค่อย ๆ เบิกตาขึ้นสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้า พลันที่สติของเธอกลับคืนมา ภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอคือชายคนที่เธอรักในชุดทหารญี่ปุ่น เธอจึงโกรธมากจึงถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา พร้อมกับกลิ้งตัวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนพื้น พร้อมกับตะโกน “ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน”

เสียงเขย่าประตูจากด้านนอกของเหล่าทหารที่หวังจะรอต่อคิวดังขึ้นไม่ขาดระยะ

เขาโน้มตัวลงไปกอดสาวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน เธอกัดไหล่เขาอย่างรุนแรงและดุดัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุด เขายื่นหน้าเข้าไปแนบกับหน้าเธอ น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับพูดเบา ๆ กับเธอว่า “ขอโทษด้วย ขอโทษ”

เขาค่อย ๆ ชักปืนออกมา เล็งปลายกระบอกปืนไปที่ขมับของสาวน้อยชาวจีน เธอเงยหน้าขึ้น สายตาของเธอเฉยชา เขาค่อย ๆ ก้มลงไปจุมพิตที่แก้มของสาวน้อยชาวจีนอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเธอว่า

“ไม่ต้องห่วง ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ ผมจะคอยปกป้องคุณท่ามกลางความมืดมิด”

เธอลืมตาขึ้น พร้อมกับหลุดเสียหนึ่งออกมาว่า “ฉันชื่อเย่เกอ” พร้อม ๆ กับเสียงลั่นไกปืนดังขึ้น ร่างของเธอหงายหลังล้มลง

ปะตูเปิดออกด้วยฝีมือของเหล่าทหารที่วิ่งกรูเข้ามา เขารีบยัดปืนที่เปื้อนเลือดสด ๆ เข้าปาก

เสียงกระหึ่มดังกึกก้องขึ้นจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ร่างอันไร้วิญญาณของเขาล้มลงไปนอนเคียงคู่กับสาวน้อยหมากล้อม ที่มุมปากคงเหลือเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ เผยอขึ้น

นี้คือผลงานชิ้นที่สามของ “เหยียนหนี” ที่ได้บรรจงสรรสร้างไว้ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากถึง ๑๙ ภาษา และยังได้รับการดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์อีกด้วย

นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัล “Le Prix Goncourt des Lyceens” อันเป็นรางวัลทางวรรณกรรมที่สำคัญรางวัลหนึ่งของฝรั่งเศษ และรางวัล “Kiriyama Prize” ที่กองทุนคิริยามาแปซิฟิกประเทศญี่ปุ่นและมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสดกประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกันมอบให้ประจำปี ๒๐๐๔ และเป็นหนังสือที่ทำให้นาย Jacques Chirac ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ต้องเขียนจดหมายไปแสดงความชื่นชมถึงผู้ประพันธ์ด้วยความประทับใจ

1 ความคิดเห็น: