วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ตงเจิน เจ้าหญิงจารชน

๑๗ กันยายน ๒๕๕๗

บางครั้งภาพการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏให้คนทั่วไปได้รับรู้อาจซ่อนเร้นปกปิดบางสิ่งบางอย่างไว้ คล้ายกับฟันเฟืองเล็กๆในเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ทำงานสร้างผลผลิตออกมา แม้ไม่มีใครมองเห็นแต่องค์ประกอบเล็ก ๆ นี้เองได้มีส่วนสำคัญในการสรรสร้างผลิตผลเหล่านั้นรวมอยู่ด้วย

“ตงเจิน” สุภาพสตรีสาวสวยที่มีพื้นเพโดยกำเนิดเป็นชาวจีน แต่ถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น ทำให้ความคิด ความรู้สึกและอุดมการณ์ของเธอแปรเปลี่ยนไป เธอกลายเป็นสายลับให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นและหวนกลับมาทำลายประเทศให้กำเนิด

“บันทึกลับตงเจิน เจ้าหญิงจารชน” หรือ “The Private Papers of Eastern Jewel” หนังสือขนาดพอเหมาะประมาณ ๔๐๐ หน้า ที่ประพันธ์โดย “โมรีน ลินด์ลีย์ (Maureen Lindley)” นักจิตบำบัดชาวอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นนักเขียน และได้สมมติตัวเองเป็น “ตงเจิน” สำหรับในฉบับภาษาไทยแปลโดย “วิภาดา กิตติโกวิท” ด้วยอรรถรสที่ชวนติดตามจนวางไม่ลง

ผู้ประพันธ์ได้สมมติตัวเองเป็น “ตงเจิน” ผู้หญิงที่ทุกคนตัดสินว่ามีความชั่วร้าย โดยถ่ายทอดความคิดที่อยู่ก้นบึ้งอันเป็นรากฐานของพฤติกรรมที่แสดงออกมาว่าทำไปด้วยเหตุใด ทำให้ผู้อ่านเข้าใจแรงขับภายในตัวเธอมากยิ่งขึ้น จนอาจแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารในตัวเธอได้

จากเด็กสาวในฐานะเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ชิง บุตรีเจ้าชาย “ซู่ชินอ๋วง” สายเลือดสายตรงของอนุชาองค์สุดท้ายของปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ชิงกับสนมคนที่สี่ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจักรพรรดิปูยีจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน ต้องกลับกลายเป็นจารชนล้มล้างแผ่นดินเกิด และถูกตัดสินประหารชีวิตโดยคำสั่งของรัฐบาลเจียงไคเช็ค

บทลงโทษทีเธอได้รับในวัยแปดขวบ จากเหตุการณ์ในค่ำคืนหนึ่ง ตัวเธอไปพบเห็นพ่อของตัวเองกำลังเริงสวาทกับเด็กสาวทำให้ถูกส่งตัวไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นบุตรบุญธรรมของ “คาวาชิมะ” สมาชิกเครือข่ายข่าวกรองระดับสูงของประเทศญี่ปุ่น

สิบปีเต็มที่เธออาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาของครอบครัวผู้เป็นพ่อบุญธรรมภายในคฤหาสน์อันใหญ่โต ร่วมกับ “เทชิมะ” พ่อของ “คาวาชิมะ” และ “นัติชิโกะ” กับ “ชิมะโกะ” ภรรยาของ “คาวาชิมะ” โดยมี “เป้าเชี่ยน” ที่เดินทางจากประเทศจีนไปด้วยกันเป็นพี่เลี้ยง

ภาพที่เธอเห็นทุกวัน คือ การพบปะพูดคุยกับบุคคลสำคัญของญี่ปุ่น ท่ามกลางวงสุราและบรรดาเกอิชาที่เจ้าบ้านจัดต้อนรับ

เมื่อรู้ตัวว่าย่างเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวเมื่อมีประจำเดือนครั้งแรก เธอก็ถูกเรียกตัวเข้าไปพบ “เทชิมะ” ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบสองเพื่อเปิดบริสุทธิ์ โดยอ้างว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และหลังจากนั้นเธอต้องเปลี่ยนฐานะจากบุตรบุญธรรมไปเป็นของเล่นยามเหงาให้กับ “คาวาชิมะ” และบุคคลที่เดินทางมาปรึกษาข้อราชการในรั้วคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังนั้นนับไม่ถ้วน

“ยามางะ” นายทหารหนุ่มรูปงามเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตเธอ เธอมอบใจและร่างกายให้กับเขา เพราะมั่นใจว่าจะพาเธอพ้นจากเส้นทางที่พ่อบุญธรรมขีดเส้นให้เดิน แต่ก็ต้องเสียใจอย่างหนักเมื่อได้รับคำปฏิเสธหลังเอ่ยปากให้ “ยามางะ” มาขอเธอแต่งงาน

“ยามางะ” เดินออกไปจากชีวิตเธอ แต่ได้ทิ้ง “ลูก” ไว้ในท้องเป็นอนุสรณ์รักฝ่ายเดียว “เป้าเชี่ยน” แนะนำเธอให้ตัดใจด้วยความไม่เหมาะสมกับฐานะเจ้าหญิงที่เธอดำรงอยู่

ด้วยความยากจนไม่มีเงินจะไปทำแท้ง เธอจึงต้องแต่งเรื่องไปบอกกับ “นัติชิโกะ” โดยอ้างว่าเด็กในท้องเป็นลูกของ “คาวาชิมะ” ทำให้ “นัติชิโกะ” รีบเข้ามาช่วยจัดการเพื่อไม่ให้เธอคลอดลูกออกมาแบ่งปันทรัพย์สมบัติที่เธอหวังไว้ในอนาคต แต่โชคร้ายการทำแท้งครั้งนั้น ทำให้เธอไม่สามารถมีบุตรไปตลอดชีวิต

ข่าวร้ายมาถึงหูเธอในอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ “คาวาชิมะ” บอกกับเธอว่า ได้ยกเธอให้กับ “กันจูเออจาบ” เจ้าชายมองโกเลียที่อยู่ทางทิศเหนือของประเทศจีน เธอไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งของพ่อบุญธรรมได้ ต้องเดินทางไปแต่งงานกับเจ้าชายมองโกเลีย ณ ดินแดนท่ามกลางหุบเขา มีแต่ป่าและลานกว้างของทุ่งหญ้าท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ

ทุกวันเวลาที่ผ่านไปทุกขณะ เธอคิดวางแผนหนีจากดินแดนที่แสนโหดร้าย ยอมพลีกายเป็นเครื่องนำทางจนในที่สุดเธอก็สามารถหนีออกมาจากดินแดนที่ห่างไกลนั้นได้ โดยเดินทางไปพร้อมกับรถขนส่งสินค้าคันหนึ่งมุ่งหน้าสู่ท่าเรือพอร์ตอาเธอร์ ที่จะมีเรือโดยสารไปยังโตเกียว เธอยอมแบ่งทรัพย์สินที่เธอลักมาจากสามีผู้เป็นเจ้าชายมองโกเลียเป็นค่าโดยสารที่แสนแพง

บนเรือโดยสารที่มุ่งหน้าสู่ดินแดนใหม่ เธอได้รู้จักกับ “มาดามฮิดาริ” สตรีหม้ายนักธุรกิจไฮโซจากประเทศญี่ปุ่น และกลายเป็นเพื่อนกัน “ฮิดาริ” ได้แบ่งบ้านหลังหนึ่งให้กับเธอเป็นแหล่งพักพิงในกรุงโตเกียว และคอยส่งผู้ชายที่ร่ำรวยมาให้เธออยู่เป็นประจำ

ความฝันอยากจะเดินทางไปยังเซี่ยงไฮ้ ของเธอสำเร็จด้วยการช่วยเหลือจากบรรดาผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตเธอ เมื่ออยู่ในเชี่ยงไฮ้ เธอใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา ก้าวขึ้นมาเป็นสาวไฮโซแสนสวยเป็นที่หมายปองของบรรดาชายหนุ่มและแก่หลากหน้าในวัยยี่สิบต้น ๆ

“แฮรี่” หนุ่มชาวยุโรปนักธุรกิจกระเบื้องเคลือบก้าวเข้าในชีวิตเธอ เขาหลงรักเธอมาก จนเอ่ยปากชักชวนเธอไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศอังกฤษ แต่เธอปฏิเสธ

ชีวิตเธอเริ่มแปรเปลี่ยนเมื่อในค่ำคืนหนึ่งเธอได้พบกับ “ทานะกะ” ทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่น ด้วยชะตาที่ต้องกันเธอก็ได้มอบความรักให้กับเขาในอีกสองวันต่อมา สิ่งที่เธอได้รับจาก “ทานะกะ” ก็คือการชักชวนเข้ามาเป็นสายลับให้กับญี่ปุ่น และถูก “พันเอกโดอิฮาระ” ผู้เป็นหัวหน้าของ “ทานะกะ” เรียกตัวให้ไปรายงานตัวที่เมืองเทียนจินที่อยู่ทางเหนือ อันเป็นเมืองที่พำนักของ “จักรพรรดิปูยี” หลังจากถูกพรรคก๊กมินตั๋งยึดครองประเทศ

เธอตกเป็นของ “โดอิฮาระ” ก่อนที่จะถูกมอบหมายให้เข้าไปเป็นสายลับในบ้านพักของ “จักรพรรดิปูยี” เพื่อโน้มน้าว “หวั่นหยง” ภริยาของ “ปูยี” ให้ยอมเดินทางไปอยู่กับสวามีที่เมืองหมั่นโจว ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนที่ญี่ปุ่นกำลังขยายดินแดนไปถึง

ด้วยความที่เธอมีสายเลือดชาวจีนจึงทำให้ “หวั่นหยง” ให้ความไว้วางใจเธออย่างมาก เธอกลายเป็นคู่ปรับทุกข์ เพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร และสูบฝิ่นด้วยกัน

เธอพยายามเกลี่ยกล่อมให้ “หวั่นหยง” ย้ายไปกับ “ปูยี” โดยเร็ว แต่ก็ไม่สำเร็จ เธอเริ่มหาวิธีการอันชั่วช้ามาใช้ทุกอย่าง ซึ่งก็แค่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับ “หวั่นหยง” เท่านั้น จนถึงขั้นสุดท้ายกับการสร้างสถานการณ์จลาจลขึ้นในย่านชาวจีนของเมืองเทียนจิน จน “ปูยี” และ “หวั่นหยง” ยอมเดินทางไปที่เมืองหมั่นโจวได้สำเร็จ

เธอได้รับการเลื่อนยศเป็นพันตรีแห่งกองทัพญี่ปุ่น

ภารกิจใหม่ที่เธอได้รับมอบหมายจาก “โดอิฮาระ” ให้ทำงานร่วมกับ “ทานะกะ” ก็คือ การก่อกวนชาวเมืองย่านใจกลางกรุงเซี่ยงไฮ้ เธอได้ว่าจ้างนักเลงหัวไม้เข้าไปก่อกวนในชุมชน ปล้นขโมย ทุบตีทำร้ายพี่น้องชาวญี่ปุ่น จนญี่ปุ่นอ้างเป็นเหตุผลในการเข้าไปโจมตีเซี่ยงไฮ้แก่ชาวโลก เซี่ยงไฮ้ต้องจมอยู่ในกองเพลิง เสียหายอย่างมหาศาล เกิดข้าวยากหมากแพง ทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากปลักหักพัง ขอทานเดินขอรับเศษอาหารทั่วท้องถนน

ชีวิตของเธอก้าวต่อไปในโลกของสังคมชั้นสูง เธอได้พบรักอีกครั้งกับ “แจ๊ค” นักข่าวอเมริกัน “แจ๊ค” พยายามเกลี่ยกล่อมเธอให้คิดถึงประเทศบ้านเกิดของเธอ แต่เธอปฏิเสธความปรารถนาดีของเขาอย่างสิ้นเชิง

ข่าวสารที่ส่งมาถึงเธอพร้อม ๆ กัน คือ “แจ๊ค” ถูกเรียกตัวกลับนิวยอร์กในสัปดาห์หน้า กับ “หวั่นหย่ง” ส่งข่าวผ่านมาว่า “โดอิฮาระ” ต้องการพบตัวเธอที่หมั่นโจว ซึ่งเมื่อ “แจ๊ค” รู้เรื่องก็พยายามทักท้วงการเดินทางไปหมั่นโจวโดยให้เลือกความรักของเขา แต่เธอปฏิเสธคำอ้อนวอนของ “แจ๊ค” อย่างไม่มีเยื่อใย

เธอเดินทางถึงเมืองฉางชุน เมืองหลวงของหมั่นโจว โดยเครื่องบินทหารของญี่ปุ่น มี “นายพลทาดะ” มาคอยต้อนรับและพาเธอเดินทางไปยังวังหมั่นโจว เพื่อพบกับ “หวั่นหยง” และได้พบกับจักรพรรดิปูยีในอีกหนึ่งเดือนถัดมา ตลอดระยะเวลาที่เธอพักอยู่ เธอจะส่งข่าวความเคลื่อนไหวในวังแห่งนั้นให้กับ “โดอิฮาระ” ทราบตลอด

ด้วยความเหงาทำให้เธอกลายเป็นคู่นอนกับ “นายพลทาดะ” ตลอดสิบเดือนที่พักอยู่ในวังหมั่นโจว และต้องเอ่ยคำลา “นายพลทาดะ” อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเธอถูกเรียกตัวให้เดินทางไปปักกิ่ง หลังจากที่จักรพรรดิปูยีเดินทางไปญี่ปุ่นไม่นาน

การเดินทางครั้งนั้นสร้างความรู้สึกเศร้าใจให้กับ “หวั่นหยง” เป็นอย่างมาก เธอต้องอาศัยอยู่ตามลำพังในวังหมั่นโจว โดยขาดอิสรภาพในการใช้ชีวิต เพราะต้องอยู่ในสายตาของทหารญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด

หน้าที่ใหม่ที่เธอได้รับ คือ การสืบให้รู้ว่าในหมู่คนจีนชั้นสูงที่ร่ำรวยมีใครบ้างที่สนับสนุน “เจียงไคเช็ค” หากรู้จะได้นำมาพิพากษาลงโทษเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู การทำงานครั้งนี้เธอต้องทำงานร่วมกับ “หลี่ชิ่งหวี่” คนจีนแต่อยู่ข้างญี่ปุ่น เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอ และเป็นคนพาเธอไปรู้จักกับผู้คนในวงสังคมชั้นสูงทั้งคนญี่ปุ่นและคนจีน

เธอไต่เต้าชีวิตด้วยเรือนกาย จนในที่สุดกลายมาเป็นประธานบริษัทเหมืองทองแห่งประเทศจีนและประธานสมาคมชาวแมนจูในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่มีเกียรติและมีประโยชน์อย่างมากต่อญี่ปุ่น เธอมีชีวิตที่ร่ำรวยขึ้น เงินทองเธอหมดไปกับเสื้อผ้า เครื่องประดับ การพนัน ฝิ่น หมอดู ช่างเสริมสวย งานปาร์ตี้ และการบริจาคให้กับการกุศลเพื่อรักษาฐานะที่เธอดำรงอยู่

ชีวิตสุขสบายของเธอต้องมาหยุดลงเมื่อในเช้าวันนั้น เธอได้รับการบอกข่าวว่า “จักรพรรดิญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามต่ออเมริกา” หลังจากที่โดนถล่มด้วยระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เธอตกใจสุดขีด พยายามติดต่อนายทหารญี่ปุ่นที่เธอรู้จัก แต่คนที่เธอรู้จักต่างเดินทางกลับไปญี่ปุ่นหมดแล้ว

เธอพยายามร้องขอต่อนักบินทหารเที่ยวบินสุดท้ายที่จะออกจากสนามบิน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเพราะกลัวขัดคำสั่งที่รับพลเรือนร่วมเดินทางไปด้วย สร้างความปวดร้าวให้กับเธอยิ่งนัก จิตวิญญาณและสายเลือดญี่ปุ่นที่มีอยู่ในตัวเธอตั้งแต่วัยเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือเธอในยามคับขันได้

เธอยอมทิ้งบ้านหลังหรูไปพักอาศัยในกระท่อมหลังเล็กของชายฝาแฝด ที่เคยทำหน้าที่หน่วยอารักขาเธอในยามร่ำรวย พร้อมกับโรคซิฟิลิสที่ติดตัวเธอไป เธอต้องใช้เงินก้อนโตที่ติดตัวมารักษาโรคร้ายนั้นจนหายขาด

เงินทองที่ติดตัวเธอไปเริ่มร่อยหรอ ชายทั้งสองเริ่มหยาบคายกับเธอเมื่อเงินทองเธอหมด เธอต้องทนกัดฟันทนอยู่ในกระท่อมหลังนั้น โดยพยายามเดินทางไปพบคนที่ที่เธอพอรู้จักให้พาเธอหนี

จนวันหนึ่งฝาแฝดผู้น้องก็มาบอกกับเธอว่า มีประกาศให้รางวัลนำจับเธอในฐานะ “อาชญากรสงคราม” ทำให้เธอต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในกระท่อมโดยไม่ออกไปไหน

วันสิ้นสุดอิสรภาพก็มาถึงในเช้าวันถัดมา ฝาแฝดทั้งสองหายไปจากกระท่อมตลอดคืน จนรุ่งเช้าเธอถูกปลุกด้วยเสียงกระซิบกระซาบนอกกระท่อม เธอพยายามลืมตาปรับเข้ากับแสงแรกของวัน ประตูก็ถูกเตะให้เปิด กลุ่มทหารจีนแห่เข้ามาล้อมเธอไว้ เสียงตะคอกใส่อย่างบ้าคลั่ง ถูกดึงทึ้งกระชากผมให้ลุกขึ้นยืน และพาไปยังเรือนจำหมายเลขหนึ่งของกรุงปักกิ่ง

เธอมารู้ทีหลังว่าเธอโดนจับเพราะฝาแฝดที่เธอชุบเลี้ยงมาหักหลังเธอ โดยสมัครไปเป็นตำรวจให้กับรัฐบาลเจียงไคเช็กแล้วส่งตำรวจมาจับเธอ เธอถูกตัดสินประหารชีวิตในอีกสองปีถัดมาด้วยข้อหาฉกรรจ์

“จินอี้” ภรรยาลับของเจ้าชายญี่ปุ่น คนที่เธอเคยช่วยเหลือจนร่ำรวย ได้ส่งข่าวมาว่าจะช่วยเหลือเธอ โดยการเปลี่ยนตัวกับผู้หญิงรายหนึ่งที่เป็นวัณโรคที่จะนำเข้ามาแทนเธอในคืนก่อนวันประหาร

รายงานข่าวที่ถูกตีพิมพ์ใน “ปักกิ่งรายวัน” ฉบับวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๔๙๑ รายงานว่า “เมื่อเวลา ๑๘.๔๐ น. ของวันที่ ๒๕ มีนาคม ๑๔๙๑ นักโทษหญิงชื่อ “ตงเจิน” ถูกประหารชีวิตในเรือนจำหมายเลขหนึ่งในปักกิ่ง ตงเจินเป็นธิดาคนที่สิบสี่ของ “ซู่ชินอ่วง” สายเลือดสายตรงของอนุชาองค์สุดท้ายของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชิง”

มีการพิสูจน์ดีเอ็นเอในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๒๕๕๒ ยืนยันว่า “ผู้ตายไม่ใช่ตงเจิน” ทำให้ข่าวลือที่ว่าเธอหนีไปใช้ชีวิตในหมู่บ้านชนบทที่นครฉางชุนในหมั่นโจว และอยู่ต่อมาอีก ๓๐ ปี จนเสียชีวิตด้วยวัย ๗๒ ปี นั้น จึงเป็นเรื่องจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น