วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เพลงรักบทสุดท้าย

๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

“น้องวิน” ลูกรัก

นี้เป็นจดหมายฉบับที่ ๓ แล้วที่พ่อเขียนถึงลูก ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆเหมือนเดิม แต่ฉบับนี้เปลี่ยนจากความรักของสามีภรรยาเป็นความรักในรูปแบบอื่น ๆ แทน พ่อยังไม่เฉลยในตอนนี้ แต่อยากให้น้องวินได้อ่านจดหมายฉบับนี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน

อย่างที่ลูกรู้อยู่แล้วว่าช่วงนี้พ่อหลงใหลในงานของ “NICHOLAS SPARKS” นักประพันธ์นวนิยายโรแมนติคชาวอเมริกาที่มีผลงานหลายเล่ม จนถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งครั้งที่แล้วพ่อก็เคยเขียนมาเล่าให้ลูกฟัง ทั้งเรื่อง “ปาฎิหาริย์บันทึกรัก” กับ “รักจากใจจร” สำหรับครั้งนี้พ่อนำมาจากเรื่อง “The Last Song” หรือ “เพลงรักบทสุดท้าย” แปลโดย “วรางคณา เหมสกุล”

เป็นเรื่องของ “รอนนี่” สาวน้อยวัยสิบเจ็ด ที่ถูก “คิม” ผู้เป็นแม่บังคับให้ไปอยู่กับ “สตีฟ” คนเป็นพ่อ (ที่แยกทางกับแม่มากว่า ๓ ปีแล้ว) ซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่งในช่วงฤดูร้อนปีหนึ่ง และได้สร้างความไม่พอใจให้กับรอนนี่อย่างมาก เนื่องจากเธอเกลียดพ่ออย่างมากที่ได้ทิ้งแม่ไป แต่ด้วยความรักแม่จึงต้องยอมจำใจทำตาม และได้ชวนน้องชาย “โจนาห์” วัยสิบเอ็ดปีไปอยู่ด้วยกัน

เมื่อไปถึงบ้านพ่อ เธอไม่พูดไม่จาและเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด แม้กระทั่ง “เปียโน” เครื่องดนตรีที่เธอรักและเคยเล่นกับพ่อเมื่อครั้นอดีต วางอยู่กลางบ้าน ด้วยความรักที่ “สตีฟ” มีต่อลูกสาวมาก จึงทำการกั้นห้องเก็บ “เปียโน” หลังนั้นไว้ไม่ให้ “รอนนี่” ได้เห็นอีกต่อไป

เพราะไม่อยากเห็นหน้าพ่อ “รอนนี่” จึงหาทางออกไปเที่ยวนอกบ้านเสมอ ๆ ปล่อยให้น้องชายอยู่กับพ่อตามลำพัง ซึ่งยิ่งทำให้ทั้งคู่เข้ากันได้ดีมากขึ้น และมีงานทำด้วยกัน โดยเฉพาะการสร้างหน้าต่างโบสถ์ที่จะนำไปติดตั้งที่โบสถ์แห่งใหม่ที่สร้างทดแทนโบสถ์หลังเก่าที่ถูกเพลิงไหม้ไปเมื่อไม่นานมานี้

“รอนนี่” เที่ยวเตร็ดเตร่ไปตามย่านต่าง ๆ ภายในเมือง จนรู้จักผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “วิลล์” นักกีฬาวอลเล่ย์บอลชายหาด “มาร์คัส” นักเลงประจำย่าน และ “เปลวไฟ” แฟนของ “มาร์คัส”

วันหนึ่ง “รอนนี่” ออกจากบ้านแต่เช้า และได้พบกับ “มาร์คัส” ซึ่งแอบชอบ “รอนนี่” อยู่แล้ว “มาร์คัส” พยายามเข้ามาตีสนิทกับเธอ ภาพดังกล่าวไม่พ้นสายตาของ “เปลวไฟ” ทำให้ “เปลวไฟ” รู้สึกเกลียด “รอนนี่” มาก เพราะเข้ามาพัวพันกับคนรักของเธอ จึงหาทางกลั่นแกล้ง โดยหยิบเอาสิ่งของในห้างสรรพสินค้าใส่ลงไปในกระเป๋าถือของ “รอนนี่” จนในที่สุด “รอนนี่” ก็ถูกตำรวจจับดำเนินคดี

เมื่อ “สตีฟ” รู้ข่าวว่าลูกสาวถูกจับ เขาก็รีบไปประกันตัวเธอออกมาจากห้องขัง

“รอนนี่” รู้สึกแปลกใจอย่างมาก ที่พ่อไม่ดุว่ากล่าวอะไรเลย กลับแสดงความเห็นใจ ทำอาหารให้เธอกิน ทำให้ความเกลียดชังพ่อเบาบางลง

บริเวณหลังบ้านที่เธอกับพ่อพักอยู่เป็นชายหาดยาวที่เต่าขึ้นมาวางไข่เสมอ วันหนึ่งเธอเห็นพ่อไปนอนเฝ้ารังไข่เต่า เพราะกลัวว่า “ตัวแร็กคูน” จะมากินไข่ จึงเอ่ยปากอาสาที่จะมานอนเฝ้าแทนพ่อเอง ผลจากการมานอนเฝ้ารังไข่เต่า ทำให้เธอได้พบ “วิลล์” ที่ยังทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครดูแลพิพิธภัณฑ์ด้านสัตว์น้ำที่อยู่ในเมืองด้วย ทั้งคู่จำกันได้เมื่อครั้งที่ลูกวอลเล่ย์บอลกระเด็นมาโดนเสื้อเธอ

“รอนนี่” และ “วิลล์” เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน และในที่สุดก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน

“รอนนี่” ได้ไปร่วมงานแต่งงานของ “เมแกน” พี่สาวของ “วิลล์” ตามที่เขาขอร้อง เธอได้พบกับพ่อแม่ของเขา ทำให้ “รอนนี่” รู้ว่า “วิลล์” เป็นลูกชายของมหาเศรษฐีของเมือง

“ซูซาน” แม่ของ “วิลล์” ไม่ชอบ “รอนนี่” เพราะความต่ำต้อยทางด้านฐานะ แต่ “รอนนี่”ก็ได้กำลังใจทั้งจาก “เมแกน” และ “ทอม” ผู้เป็นพ่อของ “วิลล์”

ยามใดที่ “รอนนี่” กลับมาถึงบ้าน ก็จะเห็นภาพพ่อกับน้องชายขลุกอยู่กับการทำหน้าต่างโบสถ์อยู่ในโรงเรือนข้างบ้านเสมอ

มีวันหนึ่งเธอกลับมาบ้านแต่ไม่พบพ่อ น้องชายบอกว่าพ่อไปหา “สาธุคุณแฮร์ริส” ตั้งแต่เช้าแล้ว ด้วยความสงสัย เธอเดินตามไปจนถึงโบสถ์ เบื้องหน้า คือ พ่อกำลังเล่นเปียโนอย่างมีความสุข และทันใดนั้นภาพที่เธอเคยเล่นเปียโนกับพ่อด้วยกันก็ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง

“วิลล์” ได้มีโอกาสมาพบกับ “สตีฟ” จึงรู้ว่าเขากำลังหาทางสร้างโบสถ์หลังใหม่อยู่ จึงไปอ้อนวอนพ่อของตนเองให้ช่วยสนับสนุนเงินทุน ซึ่งพ่อของเขาก็ยินดีที่จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อใช้ในการสร้างโบสถ์หลังใหม่ที่สวยงามแห่งนี้

ช่วงฤดูร้อนค่อย ๆ ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความรักของ “รอนนี่” กับ “วิลล์” ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่ทั้งคู่ก็อดกังวลใจกับวันเวลาที่จำต้องแยกกันในไม่อีกกี่วันข้างหน้า เพราะ “วิลล์” ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตามที่ แม่ของเขากำหนด ส่วน “รอนนี่” ก็จะต้องกลับไปอยู่กับแม่ของเธอเมื่อหมดฤดูร้อนปีนั้นเช่นกัน

สิ่งที่ทั้งคู่ทำได้ก็คือ “สัญญารัก” ว่าจะหาทางมาอยู่ด้วยกันให้จนได้

กิจกรรมสำคัญในช่วงปลายฤดูร้อนหนึ่ง คือ การแข่งขันวอลเล่ย์บอล ซึ่งทีมของ “วิลล์” ลงแข่งรอบชิงชนะเลิศด้วย ในขณะที่กำลังแข่งอยู่นั้น สายตาของ “วิลล์” ก็เหลือบไปเห็น “มาร์คัส” กำลังเล่น “ลูกไฟ” เพื่อเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชม

ช่วงหนึ่ง “มาร์คัส” โยนลูกไฟไปให้ “เปลวไฟ” ลูกมือของเขา เกิดพลาดทำให้ลูกไฟกระเด็นไปโดนเสื้อผ้าที่ “เปลวไฟ” ใส่ จนลุกไหม้ท่วมตัว ทำให้ “วิลล์” ที่กำลังเล่นบอลอยู่นั้นตกใจ รีบวิ่งออกจากเกมไปช่วย “เปลวไฟ” โดยมี “รอนนี่” ตามไปด้วย ทั้งคู่พา “เปลวไฟ” ส่งโรงพยาบาล ทำให้เธอรอดชีวิตมาได้ สร้างความซึ้งใจให้กับ “เปลวไฟ” ยิ่งนัก

ในงานเทศกาล “ปล่อยลูกเต่า” ลงทะเลมาถึง ไข่เต่าที่เธอกับ “วิลล์” และครอบครัวนอนเฝ้ามาตลอด ค่อย ๆ แตกตัวมีลูกเต่าหลายร้อยตัวคลานออกมาและเดินช้า ๆ ลงสู่ทะเล สร้างความสุขให้กับ “รอนนี่” เป็นอย่างมาก แต่ความดีใจก็เกิดขึ้นไม่นาน เพราะหลังงานเลิกงาน เธอเห็นพ่อล้มลงและใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด

ในระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ความลับที่พ่อของเธอเก็บไว้ก็ถูกเปิดเผยออกมาจากปากของ “สาธุคุณแฮร์ริส” ผู้ที่รัก “สตีฟ” เป็นอย่างมาก ว่า “สตีฟ” เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และกำลังจะจากโลกนี้ไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อีกทั้งพ่อยังเป็นผู้ขอร้องให้ “คิม” อนุญาตให้ “รอนนี่” กับ “โจนาห์” ลูกทั้งสองคนได้มาอยู่ด้วยกันในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาด้วย

เมื่อ “รอนนี่”และ “โจนาห์” รู้ความจริงทั้งหมด จึงพยายามหาทุกหนทางช่วยพ่อ โดยทำสิ่งต่าง ๆ ที่พ่อเธอรัก ทั้งคู่ชวน “วิลล์” ไปช่วยกันสร้างหน้าต่างโบสถ์ที่ประดับประดาไปด้วยกระจกสีที่สวยงามที่ทำค้างไว้จนเสร็จ

เมื่อ “คิม” มารับเธอกลับบ้าน “รอนนี่” ก็ปฏิเสธที่จะกลับไป โดยบอกว่าจะขออยู่ดูแล “พ่ออันเป็นที่รัก” ก่อน โดยขอร้องให้น้องชายกลับไปกับแม่ตามลำพัง และ “รอนนี่” ได้ขอร้องแม่ให้ส่งจดหมายของพ่อที่เขียนไปหาเธอหลายสิบฉบับ แต่เธอไม่เคยเปิดอ่านเลยเพราะความเกลียดที่มีต่อพ่อ ส่งกลับมาให้เธอด้วย

เมื่อถึงกำหนด “วิลล์” เดินทางไปเรียนหนังสือ ทำให้ชีวิต “รอนนี่” ต้องอยู่กับพ่อตามลำพัง เธอพยายามดูแลพ่อของเธออย่างดี พาเดินเที่ยวตามชายหาด ชวนพูดคุย

และในช่วงนี้เองขณะที่เธออยู่บ้าน “เปลวไฟ” ได้เดินทางมาหา และขอโทษที่แกล้งนำสิ่งของใส่กระเป๋าเธอ จนทำให้ “รอนนี่” ถูกดำเนินคดี แต่ด้วยความดีที่เธอกับ “วิลล์” ได้ช่วยชีวิตเธอไว้ “เปลวไฟ” จึงได้ไปสารภาพกับทางตำรวจถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และทำให้ “รอนนี่” กลายเป็นผู้บริสุทธิ์

ทุกวันรอนนี่จะโทรหาน้องชายและเล่าอาการของพ่อให้ฟัง เมื่ออยู่คนเดียวเธอก็เปิดจดหมายของพ่อ (ที่แม่ส่งกลับมาให้) ตั้งแต่ฉบับแรกเมื่อสามปีก่อนอ่าน จนทำให้เธอได้เห็นความรักของพ่อมากขึ้น และก็รู้สึกโกรธตัวเองที่คิดร้ายกับพ่อมาโดยตลอด

วันหนึ่ง “รอนนี่” ได้ไปพบกระดาษที่เขียนด้วยลายมือของ “สตีฟ” อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานที่พ่อนั่งทำงานอยู่เป็นประจำ “รอนนี่” เปิดอ่านดู จึงรู้ว่าเป็น “บทเพลง” ที่ “สตีฟ” แต่งค้างไว้ เธอจึงใช้เวลาเกือบทั้งวันในวันนั้นแต่งบทเพลงบทนั้นจนจบ

“รอนนี่” ไปชวน “เปลวไฟ” ให้มาช่วยกันรื้อกำแพงที่พ่อสร้างกั้นเปียโนเอาไว้ และทั้งคู่ค่อย ๆ ช่วยกันยกเปียโนมาวางไว้ที่กลางบ้าน

“รอนนี่” รีบบึ่งรถยนต์ไปรับพ่อที่โรงพยาบาล และเมื่อมาถึงบ้าน เธอค่อย ๆ พาพ่อไปนั่งที่โซฟาหน้าเปียโน เธอเดินเข้าไปประจำที่เปียโน พร้อมกับเอ่ยบอกกับพ่อว่า “บทเพลงของพ่อได้แต่งเสร็จแล้ว และลูกจะขอเล่นให้พ่อฟัง”

เสียงเปียโนที่แสนไพเราะได้ถูกถ่ายทอดมาจากหัวใจของ “รอนนี่” พร้อม ๆ กับรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของผู้เป็นพ่อ

“รอนนี่” ได้ทราบข่าวจาก “สาธุคุณแฮร์ริส” ว่าโบสถ์ได้สร้างเสร็จพร้อมที่จะติดตั้งหน้าต่างที่ “สตีฟ” กับลูก ๆ ได้สร้างไว้ “รอนนี่” พยายามประคองร่างของพ่อไปร่วมในพิธี สายตาของ “สตีฟ” เฝ้ามองหน้าต่างที่ถูกติดตั้งในโบสถ์หลังใหม่ ด้วยสายตาที่มีความสุขที่สุด

“สตีฟ” ได้ขอร้องกับ “รอนนี่” ว่า เขาอยากจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ซึ่งเขาได้ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับการรักษา (DNR) ไว้แล้ว แม้รอนนี่จะรักพ่อปานใด แต่เธอก็ต้องทำตามความประสงค์ของพ่อ

แล้ว “สตีฟ” ก็จากโลกนี้ไป ทิ้งความเศร้าโศกเสียใจไว้กับ “รอนนี่” เป็นอย่างมาก ในงานศพของ “สตีฟ” มีผู้ร่วมงานไม่มาก แต่สิ่งที่เธอแปลกใจมากก็คือ “วิลล์” ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยพร้อมกับพ่อและแม่ของเขา

หลังเสร็จสิ้นงานศพพ่อ “รอนนี่” ย้ายกลับมาอยู่กับแม่และน้องชายที่เมืองนิวยอร์ก เธอเริ่มกลับไปเรียนเปียโนต่อหลังจากทิ้งไป และนำบทเพลงบทสุดท้ายมาเล่นอยู่สม่ำเสมอ และเมื่อเล่นเพลงนั้นครั้งใดเธอก็จะน้ำตาไหลซึมด้วยความคิดถึงพ่อทุกคราไป

ในตอนจบของนิยายเรื่องนี้ เป็นตอนที่ “รอนนี่” กำลังเล่นเพลงบทสุดท้ายอยู่ และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอเหลือบไปเห็นชื่อ “วิลล์” อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ทั้งคู่ต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข ถามไถ่ถึงชีวิตของแต่ละฝ่ายด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงซึ่งกันและกัน

และแวบหนึ่งพลันสายตาของ “รอนนี่” ก็หันไปเห็น “วิลล์” กำลังเดินเข้ามาหา เธอตกใจเป็นอย่างมาก ทั้งคู่โผเข้าหากันด้วยความรัก

“วิลล์” ได้บอกกับ “รอนนี่” ว่าเขาได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ โดยได้โอนหน่วยกิตมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเมืองนิวยอร์กเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสร้างความสุขให้กับ “รอนนี่” เป็นยิ่งนัก

พ่ออ่านนวนิยายเรื่องนี้จนจบแล้ว นอกจากความสุขและความเต็มตื้นที่ได้รับ พ่อยังเห็นคุณค่าของความรักที่ยิ่งใหญ่ทั้งความรักระหว่าง “พ่อกับลูก” นั่นก็คือ ความรักที่ “สตีฟ” มีให้กับ “รอนนี่” ลูกสาวของเขาและได้เห็นความรักที่ “รอนนี่” มอบคืนให้กับพ่อของเธอในระยะสุดท้ายของชีวิต

พ่อยังได้เห็นความของ “คู่รัก” ระหว่าง “วิลล์” กับ “รอนนี่” ที่ทั้งคู่รักกัน แม้จะถูกกีดกันจากครอบครัว แต่ทั้งคู่ก็ทำตามสัญญาที่ให้กันไว้

พ่อได้เห็นความรักที่ “รอนนี่” มีให้ต่อ “โจนาห์” น้องชายของเธอ ได้เห็นความรักที่ “สาธุคุณแฮร์ริส” มอบให้กับ “สตีฟ” ได้เห็นความรักที่ “วิลล์” มีให้กับเพื่อน ๆ ของเขาหลายคน

เหล่านี้เป็นความรักในหลากหลายมิติมาก ซึ่งสิ่งที่พ่อได้เขียนเล่ามานั้น ยังเล่าได้ไม่หมดเหมือนที่ผู้แต่งได้แต่งไว้ เพราะบางครั้งความรักก็ไม่สามารถอธิบายแทนได้ด้วยตัวอักษร ไม่ต่างจากที่“สตีฟ” ได้บอกกับ “รอนนี่” ลูกสาวของเขาว่า “ลูกเป็นผู้วิเศษที่สุดในหัวใจพ่อ พ่อภูมิใจที่มีลูกที่แสนดีเช่นนี้” คำพูดสั้น ๆ เพียงเท่านี้ แต่กลับสะท้อนถึงพลังความรักที่ยิ่งใหญ่และท่วมท้นของผู้เป็นพ่อถึงลูกอย่างถึงที่สุด

รักลูกมากครับ

“พ่อโต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น