๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
กุ้ง ที่รัก
เมื่อวานนี้ระหว่างที่พี่เดินทางกว่า ๔ ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ไปจัดเวทีเครือข่ายพระสังฆพัฒนา ๔ ภาค ที่อาศรมหลวงตาแชร์ จังหวัดนครราชสีมา พี่ได้ใช้เวลาขณะนั่งรถอ่านหนังสือแปลเล่มหนึ่งจนจบ ซึ่งได้สร้างความประทับใจในอรรถรสที่มาพร้อมกับสายลมหนาวยามนี้
“ก้าวรักในรอยจำ” หรือ “A WALK TO REMEMBER” เขียนโดย NICHOLAS SPARKS เป็นหนังสือเล่มนั้นที่กวีซีไรท์ “จิระนันท์ พิตรปรีชา” เป็นผู้แปล ด้วยถ้อยคำที่ละเมียดละไมจนพี่วางไม่ลงด้วยความดื่มด่ำไปกับตัวอักษรและเหมือนตัวพี่เองไปนั่งฟัง “แลนดอน” เล่าเรื่องราวบางอย่างที่ล่วงเลยมากว่า ๔๐ ปี ด้วยตนเองเลยทีเดียว
กุ้งครับ ลองดูภาษาบางตอนนะครับ..ช่างทำให้พี่หวนกลับไปนึกถึงวันนั้นของพี่และอดยิ้มกับข้อความนี้ไม่ได้
ในแสงเงาเทาทึมของฤดูหนาว ผมเห็นริมฝีปากล่างของเธอสั่นระริก ผมเองก็เช่นกัน ในนาทีนั้นหัวใจผมเต้นแรงขึ้น ผมมองเข้าไปในดวงตาเธอ ยิ้มด้วยความรู้สึกทุก ๆ อย่างที่ลึกล้นอยู่ในหัวใจ ผมไม่อาจเก็บถ้อยคำนี้ไว้กับตัวเองอีกต่อไปแล้ว “ผมรักคุณ เจมี่” ผมพูดช้า ๆ “คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผม”
นี้คือฉากเล็กๆ ฉากหนึ่ง ที่ “แลนดอน” สารภาพความในใจต่อ “เจมี่” หญิงสาวเพื่อนนักเรียนที่เขารัก
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ “แลนดอน” เด็กหนุ่มวัย ๑๗ ปี ลูกชายของวุฒิสภา กับ “เจมี่” ลูกสาวของบาทหลวง อาศัยอยู่ในเมืองโบฟอร์ท รัฐนอร์ทแคโรไลนา ทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนร่วมห้องเดียวกัน แต่ด้วยเพราะงานของโรงเรียนในค่ำคืนหนึ่งที่ให้นักเรียนต้องหาคู่เต้นรำ (คู่เดท) ไปร่วมงานในครั้งนั้น แต่ไม่มีผู้หญิงคนใดว่างสำหรับ “แลนดอน” แม้แต่คนเดียว ทำให้เขาต้องไปขอ “เจมี่” เป็นคู่เต้นรำอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
เพราะ “เจมี่” นั้นเป็นหญิงสาวที่เคร่งศาสนาจัดและมักจะถือไบเบิลไว้กับตัวตลอดเวลาไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน ส่วน “แลนดอน” เป็นนักเรียนที่เป็นที่นิยมของเพื่อนนักเรียนในโรงเรียน นี่จึงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของทั้งคู่และสร้างความกระอักกระอ่วนให้กับ “แลนดอน” ยิ่งนัก
ภายหลังจากกิจกรรมค่ำคืนนั้นผ่านไป “เจมี่” ได้มาขอร้องให้ “แลนดอน” ร่วมแสดงเป็นตัวเอกในบทละครที่เป็นบทประพันธ์ของพ่อเธอบ้าง “แลนดอน” ไม่กล้าปฏิเสธ ทั้งๆที่เขาอายต่อสายตาและคำล้อเลียนจากเพื่อนๆ ที่มาชอบสาว “ที่ดูไม่เอาไหนเสียเลย”
ในวันแสดงละคร “แลนดอน” เกิดความรู้สึกแปลกไปจากเดิม เมื่อได้พบ “เจมี่” ในชุดนางฟ้าสีขาว ปล่อยผมสยาย ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอาง จนเขาตะลึงในความงามของ “เจมี่” และอินไปกับบทละครและคำพูดสำคัญที่ว่า “คุณสวยเหลือเกิน” ซึ่งเดิมเขาแสดงไม่ได้เรื่อง แต่วันนี้กลับแปรเปลี่ยนน้ำเสียงและท่าทางได้อย่างสมจริง
นับจากวันนั้น หัวใจของ “แลนดอน” ได้แปรเปลี่ยนไป เขาไม่อายต่อคำล้อเลียนจากเพื่อนอีกแล้ว
หลังเลิกเรียนเขามักจะแวะไปหาเธอที่บ้าน พาไปพบกับพ่อและแม่ของเขา ไปเที่ยวด้วยกัน พูดคุยกัน
ในวันปีใหม่ ทั้งคู่ไปทานอาหารค่ำร่วมกันและเต้นรำด้วยกันเป็นครั้งแรก สองอาทิตย์ต่อมา “แลนดอน” ตัดสินใจสารภาพและขอความรักจาก “เจมี่” คำตอบที่ได้รับจากปากของ “เจมี่” ก็คือ “มันเป็นไปไม่ได้”
กุ้งครับ...ตอนต่อไปนี้ พี่อ่านไป หัวใจก็จะสลายตาม แต่ในขณะเดียวกันก็อดซาบซึ้งไปกับความรักของทั้งคู่อย่างเต็มตื้น
เพราะ “เจมี่” ได้เล่าให้เขาฟังว่า เธอเหลือเวลาอยู่ในโลกใบนี้อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะนี้เธอเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือด แต่คำตอบนั้นกลับยิ่งทำให้ “แลนดอน” เพิ่มความรักต่อ “เจมี่” มากขึ้น
ทุกวันเขาจะแวะเวียนมาหาเธอที่บ้าน พูดคุยและให้กำลังใจเธอทุกวินาทีที่เขาจะสามารถแบ่งปันทุกข์จากเธอได้
เวลาผ่านไป อาการของ “เจมี่” ทรุดลงตามลำดับ จนสุดท้ายร่างกายของเธอผ่ายผอมนอนซมรอวันสิ้นใจบนเตียงนอนที่บ้าน “แลนดอน” กลายเป็นเพื่อนที่มาเฝ้าดูอาการเธอโดยไม่ยอมห่าง ยามใดที่
“เจมี่” ตื่นขึ้นมา ก็จะเรียกหา “แลนดอน” ในทันที
ความเศร้าของ “แลนดอน” เพิ่มทวีขึ้นทุกวัน มีเพียงพ่อกับแม่ที่คอยให้กำลังใจเขา สิ่งที่ “แลนดอน” ทำให้กับ “เจมี่” ได้ก็คือ การอ่านหนังสือไบเบิ้ลที่ได้รับเป็นของขวัญจาก “เจมี่” ในวันขึ้นปีใหม่ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานให้ “เจมี่” ฟัง
วันหนึ่งหลังจากที่ “เจมี่” หลับไปเพราะฤทธิ์ยา “แลนดอน” ตัดสินใจวิ่งจากบ้านไปยังโบสถ์ที่พ่อของ “เจมี่” เป็นบาทหลวงอยู่ และได้ขอให้เขาได้แต่งงานกับ “เจมี่” ซึ่งก็ได้รับคำยินยอมตามที่ใจปรารถนา เขาดีใจมากรีบวิ่งกลับไปยังบ้านเพื่อบอกกับ “เจมี่” ที่นอนซมอยู่บนเตียง
“ฉันก็รักคุณ ฉันยินดีแต่งงานกับคุณค่ะ” คือคำตอบอันแผ่วเบาที่ “แลนดอน” ได้ยินจากปากของ “เจมี่”
วันแต่งงานมาถึง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกว่า ๕๐๐ คน “เจมี่” พยายามแข็งใจพยุงกายต่อสู้กับความเจ็บปวดของร่างกาย แต่งตัวด้วยชุดนางฟ้าในคืนวันเล่นละครคืนนั้นเข้าสู่พิธีวิวาห์กับชายที่เธอรัก โดยมีพ่อของเธอซึ่งเป็นบาทหลวงทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีแต่งงานในโบสถ์โบฟอร์ทนั้น
บทสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้ ตัดฉับมากล่าวถึง “แลนดอน” อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ๔๐ ปี
“ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดรับความสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิ แม้เมืองโบฟอร์ทจะเปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกับผม แต่อากาศไม่เคยเปลี่ยน มันยังคงเป็นอากาศแห่งวัยเยาว์ อากาศแห่งวัยสิบเจ็ดของผม และเมื่อผมระบายลมหายใจออก ผมก็กลายเป็นชายชราวัยห้าสิบเจ็ดอีกครั้ง ไม่เป็นไร ผมยิ้มรับสัจธรรม แหงนมองฟ้ากว้าง พลางนึกได้ว่า มีอีกข้อที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ…. ผมเชื่อแล้วว่าปาฏิหาริย์มีจริง”
กุ้งครับ..ข้อความเมื่อครู่คือบทจบของเรื่อง เป็นการจบที่ทำให้พี่ต้องหยุดพักนิ่งไปนาน...และถามตนเองเบา ๆ ถึงประโยคที่ว่า “ผมเชื่อแล้วว่าปาฏิหาริย์มีจริง” นั้น “แลนดอน” กำลังหมายถึงอะไร
พี่อยากให้กุ้งได้อ่านนิยายเรื่องนี้ดูนะครับ และช่วยหาคำตอบถึงปริศนาที่ "แลนดอน" ได้ซ่อนไว้ และพี่เชื่อว่ากุ้งจะวางหนังสือเล่มนี้ไม่ลงจริงๆ จะต้องดื่มด่ำไปกับความรักของคนหนุ่มสาววัยรุ่นของ “แลนดอน” และ “เจมี่” ที่ “มหัศจรรย์แห่งรัก” สามารถเปลี่ยนโลกและเปลี่ยนใครบางคนได้โดยไม่มีสาเหตุ “แลนดอน” ก็เป็นหนึ่งในนั้นล่ะครับ
ความรักที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการใช้ชีวิตที่แตกต่าง ความชอบที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับทำให้คู่รักอย่าง “แลนดอน” และ “เจมี่” กุมมือเดินด้วยกันไปจนสุดปลายสะพานความรักได้อย่างงดงามทีเดียว
และเมื่ออ่านจบแล้ว พี่มั่นใจว่ากุ้งคงคิดถึง "ก้าวรักในรอยจำ" ของเราทั้งสองอย่างแน่นอน
ด้วยรัก
“พี่เอง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น