วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หลากหลายวิถีบนเส้นทางไปราชดำเนิน

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ปล่อยชีวิตให้ช้าลงบ้าง เปลี่ยนวิถีจากสิ่งที่ทำซ้ำซากมาทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง เป็ชีวิตเราเหมือนได้พัก ได้เติมไฟในกายให้ลุกโนได้เหมือนกัน
หลังจากที่ผมเก็บรถยนต์คู่ใจในที่จอดรถเป็นที่เรียบร้อย พักได้สักครู่รู้สึกอยากไปเดินเที่ยวที่ราชดำเนิน เลยตัดสินใจเรียกมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้ไปส่งที่ปากซอย ยืนรอรถแท๊กซี่แต่สายตาเหลือบไปเห็นรถเมล์ปรับอากาศวิ่งเข้ามาพอดี อ่านข้อความที่ติดไว้ที่หน้ารถ บอกว่าไปที่สนามหลวง เลยตัดสินใจก้าวขึ้นรถ โชคดีที่เย็นวันนี้คนไม่แน่น เลยมีที่นั่งว่างอยู่หลายที่ เลือกที่นั่งแถวหลังซ้ายสุด เพราะอยากจะมองวิถีชีวิตของผู้คนที่ใช้ชีวิตข้างถนน
ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งหลังสุดผมใช้บริการรถเมล์เมื่อใด แต่มากกว่า ๕ ปี อย่างแน่นอน ความรู้สึกจึงเหมือนย้อนกลับไปในสมัยที่เป็นหนุ่มรุ่นกระทงอยู่ ตอนนั้นเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ไม่มีเงินทองมากมาย ก็ได้รถเมล์นี้แหละเป็นพาหนะสัญจรเดินทางเป็นหลัก
สองข้างทางที่รถเมล็วิ่งผ่านไปได้เห็นชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย
เห็นแม่ค้ากำลังขายลูกชิ้นปิ้ง น้ำอัดลม ผลไม้ เห็นหนุ่มมอเตอร์ไซดรับจ้าง เห็นคนที่ยืนรอรถอยู่เต็มบริเวณป้ายรถประจำทาง เห็นน้อง ๆ นักศึกษาหญิงชายเดินขวักไขว่ บางคนก็เดินหัวร่อต่อกระซิกกันไป บนถนนก็เต็มไปด้วยรถรา รถแท๊กซี่วิ่งตามกันไป
ถนนบางช่วงที่กำลังก่อสร้างรถไฟฟ้ามีการปิดช่องจราจรช่องหนึ่ง ทำให้การจราจรติดแทบไม่ขยับ
เหลียวมามองผู้โดยสารบนรถคันเดียวกับที่ผมนั่งไป มีทั่งนั่งทั่งยืน บางคนก็เล่นสมาร์ทโฟน ไม่สนใจใคร บางคนก็นั่งคุยกับเพื่อนที่มาด้วยกัน บางคนนั่งหลับ บางคนมีหูฟังเสียบคาไว้ทั้งสองหู ถึงป้ายครั้งใดก็มีคนบนรถ แล้วก็มีคนขึ้นมาทดแทน หมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ
สองข้างทางที่ผมมองไปรู้สึกหงุดหงิดเห็นสายไฟและสายโทรศัพท์ห้อยระโยงระเยงเต็มไปหมด หมดความสวยงาม มองทะลุไปรู้สึกรำคาญตาเมื่อเห็นกำแพงที่ถูกมือดีที่พ่นสีวาดรูป เขียนข้อความปลดปล่อยอารมณ์เต็มไปหมด
บางช่วงแถว ๆ ซอยจรัญสนิทวงศ์ ๖๖ เห็นป้ายคัดค้านโครงการเวนคืนที่ดิน เข้าใจว่าเป็นโครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน ที่ต้องการเวนคืนที่ดินเอามาทำเสารถไฟฟ้า แต่ชาวบ้านเขียนป้ายคัดค้าน โดยเสนอให้ออกปบบใหม่โดยให้เจาะกลางถนนแม้นจะเป็นช่วงลงอุโมงค์ก็ตาม
เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ที่ผมใช้ชีวิตอยู่บนรถเมล์ ในมือก็มีกระดาษเล่มเล็ก ๆ จดสิ่งที่เห็นลงไปกันลืม มันทำให้ชีวิตผมรู้สึกว่าได้เรียนรู้วิถีของผู้คนในเมืองที่หลากหลาย ทุกคนต่างทำกิจกรรมตามที่แต่ละคนตั้งเป้าไว้
รถมาจอดส่งผู้โดยสารที่สนามหลวง ผมก้าวลงจากรถ ค่อย ๆ เดินตาผู้คนที่เดินนำหน้าผมไป เสียงจากลำโพงค่อย ๆ ชัดขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
สักครู่เดียวผมก็มายืนอยู่หน้าเวทีประชาชนราชดำเนิน ทุกคนมีนกหวีดคาอยู่ที่ปาก พร้อมใจกันเป่าเป็นจังหวะสอดคล้องกับช่วงเว้นวรรคของผู้ปราศรัย ปากเป่านกหวีดในมือก็ขยับมือตบส่งเสียงเป็นจังหวะดังลั่นบริเวณนั้น บนศรีษะและข้อมือก็มีผ้าลายธงชาติพัน ผูก ดูสวยงามเต็มบริเวณลานของอนุสาวรียืประชาธิปไตย
โชคอาจไม่ดีที่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ผู้คนต่างวิ่งเข้าไปหลบในเต้นท์ขนาดใหญ่ แต่แปลกใจเป็นอย่างมาก ผู้คนต่างยิ้มแย็มให้กัย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันที่นั่งที่ยืนให้แก่กัน ดูแล้วเหมือนเป็นพี่น้องหรือคนในครอบครัวเดียวกัน
สี่ทุ่มกว่าแล้วสินะ ผมรอจังหวะช่วงฝนละเม็ด รีบเดินกลับมาที่ลงรถเมล็ เห็นรถหมายเลขเดิมวิ่งมา รีบขึ้นไปได้ที่นั่งแถวหลังอีกเช่นเคย อ้อ ลืมบอกไปเป็นรถเมล์ฟรีไม่ต้องจ่ายสตางค์ นั่งมองผูคนข้างถนน ซึ่งเปลี่ยนไปจากเมื่อตอนเยน คงเป็นเพราะค่ำแล้ว ขากลับรถไม่ค่อยติดเลยขับฉิว สายลมภายนอกโกรกประทะกับใบหน้าทำให้เย็นสบายจริง ๆ
มาถึงปากทางเข้าบ้าน หาอะไรรองท้องสักหน่อย ก่อนที่จะเรียกมอเตอรโไซด์รับจ้างไปส่งที่บ้าน ราคาค่ารถเพิ่มขึ้นอีก ๕๐ % จากเมื่อตอนกลางวัน
กลับมาถึงบ้านอาบน้ำอาบท่า รู้สึกปลอดโปล่งโล่งสบายทั้งใจทั้งกาย ความเครียดจากงานหายเป็นปริดทิ้ง รู้สึกมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้น อยากทำงาน
นี่คือชีวิตของผมในเย็นวันนี้ อ่านดูแล้้วเหมือนไม่มีอแก่นสารเอาเสียเลย แต่ผมอยากบอกว่า สิ่งที่ผมเกริ่นไว้แต่ต้น ว่าการปรับเปลี่ยนสิ่งที่เคยทำซ้ำซากสะบ้าง จะทำให้ชีวิตเราสดใสขึ้น
ผมจึงนำมาฝากกับทุกท่าน ลอง ๆ ทำดูนะครับ ผมรับประกันด้วยตัวผมเอง เพราะผมลอทำแล้วและได้ผลจริง ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น