วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิบากบนเส้นทางยื่นแถลงการณ์

๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ผมนั่งกระสับกระส่ายเพราะเวลาได้ล่วงเลยเวลานัดหมายกับวุฒิสภาท่านหนึ่งไว้ตอน ๑๕.๐๐ น ไปกว่า ๑๐ นาทีแล้ว
"อาจารย์ครับ รถมันติดมากครับ อาจารย์รอผมหน่อยนะครับ" คือเสียงที่ผมพูดไปทางโทรศัพท์กับบุคคลที่เรานัดหมายไว้
"ได้เลย" เป็นเสียงจากปลายทางตอบกลับมา
อีกราว ๕ นาที หลังจากจบการสนทนาทางโทรศัพท์ ผมตัดสินใจเดินลงจากรถตู้ที่จอดแน่นิ่งไม่ขยับมาเกือบครึ่งชั่วโมงเดินตามจิ๋วที่เดินนำหน้าไปก่อน
ระยะทางไม่น้อยกว่า ๕๐๐ เมตร ที่ผมเดินไปกับจิ๋วบนฟุตบาทของถนนราชวิถี ท่ามกลางแดดอันร้อนระอุ เล่นเอาผมแทบจะถอดเสื้อสูทที่ใส่มาเพื่อการเข้าพบวุฒิสภาที่นัดหมายไว้ทิ้งเสีย
ผมกัดฟันเดินไปจนถึงสี่แยกไฟแดง มองไปข้างหน้า สายตาก็พบกับลวดหนามวางขวางกั้นทางเข้าถนนที่มุ่งหน้าสู่รัฐสภา ด้านหลังลวดหนามเต็มไปด้วยตำรวจพร้อมอาวุธครบมือยืนเรียงปิดกั้นไว้เกือบครึ่งร้อยชีวิต พร้อมมีป้ายสีขาวเขียนด้วยข้อความว่า "เขตประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ"
ผมตัดสินใจข้ามถนนเดินเข้าไปหาตำรวจที่ยืนเรียงแถวอยู่ พร้อมกับตะโกนถามข้ามลวดหนามไปว่า "ผมขอเข้าไปได้ไหม"
ตำรวจหน่มรุ่นกระทงตะโกนบอกสวนกับมาว่า "คุยกับหัวหน้าผม" ยังไม่ทันพูดจบ ตำรวจอีกนายหนึ่งมีอายุสูงกว่าคนแรกตะโกนถามผ่านโทรโข่งว่า "จะไปไหนครับ"
"ผมนัดกับทางประธานวุฒิสภาไว้" ผมตะโกนตอบไปพร้อมกับยกซองกระดาษสีน้ำตาลที่ใส่เอกสารแถลงการณ์ไว้ภายในซึ่งจอยทำให้ก่อนเดินทาง หันด้านที่มีข้อควาขนาดใหญ่ว่า "เรียนประธานวุฒิสภา" ไปให้ตำรวจนั้นดู
"ผมได้รับคำสั่งให้ปืด ห้ามคนเข้าเด็ดขาด ต้องขอโทษด้วยนะครับ" ผมรู้สึกประทับใจกับตำรวจรายนี้จังที่พูดจาสุภาพดีจัง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกหงุดหงิดที่งงว่าจะถามเราทำไม
"พี่เดินไปอีกประตูหนึ่งด้านนั้น จะเข้าได้" ตำรวจรายเดิมตะโกนแนะนำทางแก่ผม พร้อมกับชี้มือไปทางขวามือผม
ผมกล่าวขอบคุณตำรวจรายนั้นไป พร้อมกล่าวชวนจิ๋วเดินไปตามฟุตบาทผ่านหน้าโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยไป
ผมก้าวจ้ำอ้าว เหงื่อเปียกชุ่มไปทั้งตัว ระหว่างที่ก้าวเท้าเดินไปหูก็ได้ยินเสียงจิ๋วคุยกับเด็กนักเรียนชาย ๒ คน ที่เดินร่วมทางมาด้วยกัน
เสียงที่ดังแว่วมาถึงหูผม รับรู้แต่เพียงว่าจิ๋วกำลังชวนน้องนักเรียนคุยกันถึงเรื่องการที่มีคนมาประท้วง โดยได้ยินจิ๋วพยายามอธิบายเหตุผลให้น้องทั้งสองฟังถึงสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในใจก็อดชมจิ๋วไม่ได้ที่ยังมีอารมณ์ครู ซึ่งผมนั้นรู้สึกควาเหนื่อยมันเพิ่มขึ้น ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป จนไม่อยากจะพูดกับใคร
ผมกับจิ๋วเดินมาถึงสี่แยก ก่อนตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเดินตามฟุตบาท สายตามองไปไม่เห็นประตูที่ตำรวจแนะนำเมื่อสักครู่เลย แต่ทุกอย่างต้องเดินหน้า
ระหว่างที่เดิน เดิน เดิน ในมือก็โทรศัพท์ประสานกับวุฒิสภาที่นัดหมายไว้ เพื่อเล่าสถานการณ์ให้ฟัง คำแนะนำที่ได้รับคือ "เอาไว้วันหลังไหม" ซึ่งผมตัดสินใจตอบยืนยันขอเป็นวันนี้ โดยขอร้องให้รอทีมผมด้วย
สายที่ผมกดไปหาอีกรายคือต๊ะผู้ขับรถตู้พาทีมร่วมคณะ โดยเล่าสถานการณ์ให้ฟัง พร้อมกับให้พยายามขับรถตามมา
"มอเตอร์ไซด์ไหมพี่" ชายวัยหนุ่มตัวเล็ก ผิวขาวใส่เสื้อสีเข้มสวมทับด้วยเสื้อวิน กางเกงยีนส์ ตะโกนถามผมกับจิ๋ว ที่เดินเข้าไปหา
"ผมจะเข้าไปในรัฐสภา ไปได้หรือ" ผมตอบกลับไป
"ชัวร์ ผมเพิ่งพาคนเข้าไปเมื่อสักครู่หนึ่งคน" หนุ่มวินยืนยันแบบมั่นใจ
"จริงหรือว่ะ" ผมถามกลับไป
"เชื่อผม ถ้าเข้าไม่ได้ ผมไม่เอาตังค์" หนุ่มวินเอ่ยแบบท้าทาย
ผมตัดสินใจพยักหน้าพร้อมกับก้าวขึ้นนั่งบนเบาะ โดยมีจิ๋วก้าวซ้อนหลังผมไปอีกคน
"นี่กูซ้อนสามเลยนะเนี่ย จะโดนซิวไหมนี่" ผมคิดไปตลอดทาง
หนุ่มวินขับพารถมอเตอร์ไซด์ลัดเลาะ เลี้ยวซ้ายทีขวาทีไปตามช่องว่างของรถยนต์ที่จอดแทบไม่ขยับ จนมาถึงสี่แยก ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายไปยังถนนที่มุ่งหน้าสู่รัฐสภาด้านซ้านเป็นสวนสัตว์ดุสิต สายตาเห็นชายฉกรรจ์ในชุดตำรวจชายแดนพร้อมอาวุธครบมือเต็มพรึดไปหมด ที่ทางเข้ามีหลวดหนามและแผงกั้น เปิดเป็นช่องให้รถยนต์ออกได้เพียงช่องเดียว
หนุ่มวินจอดรอตรงแผงกั้นเพราะมีรถตำรวจนำขบวนรถยนต์และรถบัสวิ่งสวนออกมานับสิบคัน
"พี่ไม่ต้องพูดอะไรนะ ทำเฉย ๆ เข้าไว้ " เสียงหนุ่มวินกระซิบบอกผม
ผมนิ่งไม่ตอบ อดคิดถึงจิ๋วไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สำหรับผมคิดไปตลอดทางว่า ถ้าตำรวจเข้ามาถามผมว่าจะไปไหน ผมควรจะตอบว่าอย่างไร
ในใจอุ่นขึ้น เมื่อมองไปที่ซองกระดาษสีน้ำตาลซองเดิมที่ผมใช้เมื่อครู่ ซองนี้แหละคือไม้กันผี ผมคิดอยู่ในใจ
หลังจากขบวนรถผ่านพ้นไป หนุ่มวินรีบบิดคันเร่งขับเลี้ยวไปเลี้ยวมา ผ่านฝูงตำรวจนับร้อยที่ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้างอยู่เต็มท้องถนนและฟุตบาท มองไปบนถนนเห็นเอ็ม ๑๖ วางเรียงรายเต็มไปหมด "พี่รู้หรือปล่าว เมื่อสักครู่เขาฉีดแก๊สน้ำตาไล่ม็อบไป" เสียงหนุ่มวินถามขึ้นในขณะที่ขับรถพาผมกับจิ๋วห้อตะบึงไปข้างหน้า
"มีด้วยหรือ" ผมถามกลับไป
"อ้าวพี่ไม่รู้หรือ" เสียงตอบกลับมา
ในใจพลันอดคิดไปว่า ถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์ผมต้องทำอะไร เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย แต่เหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรตามที่คิดเลยเถิดไป รถมอเตอร์ไซด์วิ่งพามาจอดพืดที่หน้ารัฐสภา
"แค่นี้แหละครับ" หนุ่มวินกล่าวขึ้นหลังจากรถจอดสนิท
"ผมให้ ๑ ร้อยนะ" ผมกล่าวพร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกงออกมาถือ
"ผมขอคนละร้อยครับ" หนุ่มวินมอเตอร์ไซด์กล่าวสวนขึ้นทันควัน
บรรยากาศแบบนี้ผมคงไม่มีอารมณ์ที่จะมาต่อรอง แง้มดูเงินในกระเป๋ามีแต่แบงค์พัน
"จิ๋วมี" จิ๋วซึ่งมาด้วยควักเงินในกระเป๋าจ่ายเงินให้แก่หนุ่มวินนั้นไป
ผมกับจิ๋วเดินเข้าประตู สวนกับเจ้าหน้าที่รัฐสภาที่ทยอยเดินสวนออกไป ในใจก็คิดว่า "ทำเฉย" ไม่ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนอยู่ที่ประตูอีกหนึ่งรายตามที่หนุ่มวินแนะนำเมื่อสักครู่
ผมก้าวพ้นขอบประตูรั้วรัฐสภา ก้าวเข้าไปสู่ลานกว้างหน้าอาคารรัฐสภา ในใจรู้สึกโล่งสบาย พร้อมกับหยิบโทรศัพท์โทรกลับไปที่รถตู้ที่ผมลงมาเมื่อประมาณ ๑ ชั่วโมง เพื่อเล่าสถานการณ์และแนะนำวิธีการเข้ารัฐสภาให้กับทีมที่มาด้วยฟัง
นี่คือวิบากที่ผมประสบบนเส้นทางสู่รัฐสภาเพื่อยื่นแถลงการณ์ต่อรองประธานวุฒิสภาคัดค้าน พบ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับสุดซอย ตามที่นัดหมายไว้ ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ที่ผมต้องทำในวันนี้เป็นผลของรัฐบาลที่เรียกตัวเองว่า "รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน" กระทำไว้
แม้นจะเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ใจบอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า "ต้องทำให้ได้" และผมก็ทำได้ตามทีตั้งใจไว้จริง ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น