วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความลับที่น่าเปิดเผย

๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
รัฐบาลมีความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาในวันนี้ เพราะเชื่อว่าในแวดวงตุลาการสามารถมีใบสั่งได้”
พลันที่ผมได้ยินประโยคนี้ แทบจะอยากลุกเดินไปจากออกจากห้องทันที แต่นั้นเองผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆที่ได้มีโอกาสติดตามผู้ใหญ่มา ณ ที่นี่ แต่บุคคลที่นั่งหัวโต๊ะการประชุมวันนี้ เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของคณะรัฐบาลชุดนี้ซึ่งเข้าใจเรื่องกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างดี
ผมคาดไม่ถึงจริง ๆ ที่คำพูดเช่นนั้นจะออกมาจากปากของเขา เพราะบ่งบอกถึงฐานคิดของผู้พูด และมีผลส่งต่อการตัดสินใจดำเนินการใด ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นติดตามมาอย่างยากจะหลีกเลี่ยง เพราะในเมื่อรัฐบาลชุดนี้ไม่เชื่อมั่นในเสาหลักหนึ่งในสามเสาเสียเลย นี้จึงเป็นทัศนคติที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติมิใช่น้อย.....
ภาพภายในห้องประชุมรับรองภายในตึกบัญชาการของผู้บริหารประเทศนี้ มีวงปรึกษาหารือเล็ก ๆ ราว ๑๐ คน เกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมือง ภายหลังที่มีการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญต่อการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของวุฒิสภาไปเมื่อช่วงบ่ายนั้นเอง รวมถึงการร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ที่มีการชุมนุมของประชาชนนับแสนคนอย่างต่อเนื่องมานานกว่า ๒๐ วัน

เขา : รัฐบาลเชื่อมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยว่าดีกว่าระบอบอื่น เพราะเปิดกว้างต่อการตรวจสอบของภาคส่วนอื่นทั้งในและนอกรัฐสภา เป็นระบอบที่มีเสรีภาพที่ดีกว่า
ผม : (คิดในใจ) ผมเห็นด้วยเรื่องการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยว่าดีกว่าระบอบอื่น แต่ผมไม่ค่อยเชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้ได้ยึดหลักการนี้จริงหรือไม่ เพราะปรากฏการณ์การใช้เสียงส่วนมากผ่านวาระ ๓ ของกฎหมายนิรโทษกรรมไปเมื่อตอนตีสี่ครึ่งของเช้ารุ่งของวันที่ ๑ พฤศจิกายน ไปนั้น ทำให้ผมเกิดความไม่แน่ใจ

เขา : รัฐบาลเห็นว่าในรัฐธรรมนูญได้สร้างเครื่องมือหรือช่องทาง ๆ ไว้พร้อมทุกอย่าง ทั้งการลาออก การยุบสภา การอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ผม : (คิดในใจ) ผมก็เห็นด้วย แต่ไม่ค่อยเชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้จะมีความรู้สึกไวในการหยิบเครื่องมือเหล่านั้นมาใช้ เพราะยังไม่เคยได้ยินรัฐบาลออกมาพูดต่อสาธารณะว่า จะนำข้อเสนอของผู้มาชุมนุมกว่า ๒๐ วัน ไปพิจารณา มิหนำซ้ำยังมีเสียงดูถูกดูแคลนว่าเป็นการกระทำจากกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม

เขา: รัฐบาลได้วิเคราะห์ว่าการที่มีประชาชนมาร่วมชุมนุมอยู่ในขณะนี้มีเป้าหมายแตกต่างกัน บางกลุ่มมีเป้าหมายเพื่อให้หยุดการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ในขณะที่ยังมีอีกบางกลุ่มมีเป้าหมายที่การล้มล้างรัฐบาล
ผม : (คิดในใจ) รัฐบาลชุดนี้ประเมินผลต่ำไปมาก เพราะไม่เคยมองเลยว่าการที่มีประชาชนหลากหลายอาชีพ หลายวัย และหลายสถาบัน มาชุมนุมนับแสนนั้น เขาต้องการแสดงออกให้รัฐบาลเห็นว่าประชาชนต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรที่มากกว่าเหตุผลที่ฝ่ายรัฐบาลคิดหรือเปล่า

เขา : รัฐบาลมีความเป็นห่วงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จะนำไปสู่เหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์
ผม : (คิดในใจ) ผมแอบนึกตำหนิผู้พูดหนักเข้าไปอีก เพราะหากคิดแบบนั้นรัฐบาลต้องทำอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เป็นไปตามที่ตนเองคิด แต่ตรงกันข้ามรัฐบาลกระทำคล้าย ๆ กับการราดน้ำมันลงในกองไฟมากกว่า

เขา : รัฐบาลมีความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาในวันนี้ เพราะเชื่อว่าในแวดวงตุลาการสามารถมีใบสั่งได้
ผม : (คิดในใจ) ผมแทบจะลุกออกจากห้องทันที เพราะรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เชื่อมั่นในเสาหลักหนึ่งในสามเสาเสียเลย ซึ่งเป็นทัศนคติที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติเราทีเดียว

ผ่านไปกว่าชั่วโมง ผมเดินตามหลังคณะออกจากห้องประชุม ระหว่างนั้นใจก็อดห่วงต่อท่าทีหรือฐานคิดของผู้บริหารท่านนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นฐานคิดที่มองคนอื่น องค์กรอื่น สถาบันอื่น ไปในทางลบทั้งหมด โดยไม่เคยมองว่าภายในตัวรัฐบาลเองมีจุดอ่อนอะไร และหาทางแก้ไขจุดอ่อนนั้น
เรา” พยายามเสนอให้รัฐบาลเร่งปรับทิศทางสู่ “สร้างความไว้วางใจ” เพื่อเรียกศรัทธาคืนมา โดยนำกระบวนการ “พูดคุยแบบพหุภาคี” มาใช้ แต่ผมแทบไม่ได้ยินคำตอบรับอย่างหนักแน่นจากผู้บริหารรายนี้เลย
ระหว่างย่างก้าวกลับออกมา เสียงก้องในใจบอกผมชัดเจนว่า น่ากลัวจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์จริง ๆ ครับ และหากเกิดสิ่งนั้นขึ้นมาจริง ๆ ผมว่ารัฐบาลนั่นแหละคือต้นเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น