๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ผมเห็นด้วยกับคำเชิญชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมอายะขัดขืนในเรื่อง "งดการชำระภาษี" ที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณเสนอเมื่อคืนวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เป็นอย่างมาก และอยากชวนคนไทยร่วมแสดงอารยะขัดขืนในข้อนี้อย่างเต็มที่ ประเทศเราจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดทันที
คำเชิญชวนของผมนี้ อ่านแล้วอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าผมไม่รักประเทศ ไม่อยากเห็นสังคมกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ตรงกันข้ามครับ ผมรักคนไทย ผมรักประเทศไทย มากที่สุดคนหนึ่ง (เห็นไหมผมชักติดคำพูดแบบนักการเมืองไทยเข้าไปทุกขณะ)
ก่อนที่ผมจะกล่าวถึงว่าทำไมผมถึงกล้าเชิญชวนอย่างนั้น เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า "อารยะขัดขืน" เสียก่อน
นักวิชาการตะวันตก ได้ให้นิยามไว้ว่าหมายถึง “การกระทำทางการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นสาธารณะ (public)สันติวิธี (nonviolent) และมีมโนธรรมสำนึก (conscientious) ที่ขัดต่อกฏหมาย ปรกติเป็นสิ่งที่ทำโดยมุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย (in the law) หรือในนโยบายของรัฐบาล"
นักวิชาการไทยในแวดวงสันติวิธีท่านหนึ่ง สรุปไว้ว่าการกระทำที่ถือเป็นอารยะขัดขืนจะต้องประกอบด้วยลักษณะ ๗ ประการ คือ เป็นการละเมิดกฎหมายหรือตั้งใจละเมิดกฎหมาย ใช้สันติวิธี เป็นการกระทำสาธารณะโดยแจ้งให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า ประกอบด้วยความเต็มใจที่จะรับผลทางกฏหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว ปรกติกระทำไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง และมุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมซึ่งโดยหลักแล้วเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายและสถาบันสังคม
หากให้ผมสรุปเป็นความคิดรวบยอด ผมอยากสรุปว่า "อารยะขัดขืน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยใช้สันติวิธี เพื่อหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย"
เมื่อเราพอเข้าใจกับคำว่า "อารยะขัดขืน" แล้ว เราลองมาทำความเข้าใจกับเรื่อง "ภาษี" ที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เสนอให้งดการจ่ายภาษี กันอีกสักหน่อย
ปัจจุบันประเทศไทยเรามีการเก็บภาษีในหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีจากการประกอบธุรกิจ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร ภาษีที่ดิน ภาษีป้าย และอื่น ๆ อีกหลายประเภท
"ภาษีสรรพสามิต" เป็นภาษีอีกประเภทหนึ่งที่รัฐยอดเก็บได้ในจำนวนหลายแสนล้านบาทต่อปี เป็นภาษีการขายเฉพาะที่เรียกเก็บจากสินค้าและบริการบางประเภท ซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น สินค้าที่บริโภคแล้วอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดี สินค้าและบริการที่มีลักษณะเป็นการฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่ได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากรัฐ หรือสินค้าที่ก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในการที่จะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้บริการผู้บริโภค หรือเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
สินค้าที่เรียกเก็บภาษีสรรพสามิตก็คือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ำหอม ไพ่ และอื่น ๆ อีกหลายรายการ ซึ่งรวมถึงเหล้าและบุหรี่ด้วย
ผมไม่มีตัวเลขที่แน่นอนว่า ในปีหนึ่ง ๆ รัฐสามารถเก็บเงินจากเหล้าและบุหรี่ได้ปีละเท่าไหร่ แต่หากประมาณคร่าว ๆ โดยคิดคำนวณกลับจากเงินที่ สสส.ได้รับในอัตราร้อยละ ๓ จากภาษีบาปที่เก็บขากเหล้าและบุหรี่ เป็นเงินปีละประมาณ ๓,๕๐๐ ล้านบาท ก็จะออกมาที่ปีละประมาณ ๑.๒ แสนล้านบาท
ผมเชื่อว่าคนเรารู้ว่าเหล้าและบุหรี่เป็นต้นเหตุของปัญหาทางสุขภาพมากมาย ปีหนึ่งรัฐบาลลงทุนเพื่อส่งเสริม ป้องกันและรักษาโรคที่มีต้นเหตุจากเหล้าและบุหรี่ ปีละหลายแสนล้านบาท เช่นกัน
ฉะนั้น หากคนไทยลด ละเลิกการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ก็ย่อมประหยัดงบประมาณในการจัดบริการทางด้านสาธารณสุขในจำนวนหลายแสนล้านบาทนั้นไปด้วย ซึ่งมากกว่าเงินที่รัฐเก็บได้หลายเท่า
มาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าทุกท่านคงเริ่มเห็นด้วยกับผมที่เชิญชวนให้ทุกท่านร่วมอารยะขัดขืนโดยการงดการจ่ายภาษีตามข้อเสนอของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แล้วซินะ
แต่ผมขอย้ำว่าภาษีที่ผมเชิญชวนนี้ผมจำกัดเฉพาะภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าเหล้าและบุหรี่เท่านั้นนะครับ
ส่วนภาษีประเภทอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละท่าน และก็เป็นความรับผิดชอบของแต่ละท่านต่อผลของการกระทำที่ผิดกฎหมาย ตรงนี้ผมไม่ขอเข้าไปเกี่ยวข้อง
เรามาร่วมอารยะขัดขืนโดยงดการจ่ายภาษีเหล้าและบุหรี่ โดยการงดซื้อสินที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งสองนี้กันเถอะ แล้วประเทศไทยเราจะเป็นประเทศที่มีสุขภาวะดีที่สุดในโลกเชียวแหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น