วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ (ตอนที่ ๒)

๓ มกราคม ๒๕๕๗

“นานแล้วซินะ ที่ไม่ได้มาใช้ชีวิตแบบนี้” เสียงใครบางคนลอดผ่านเต็นท์เข้ามากระทบโสตประสาท ผมเหลียวมองลูกชายและภรรยาข้างๆ ทั้งคู่ยังคงหลับสบายภายใต้ผ้าห่มนวมหนากันความหนาวเหน็บจากอากาศบนภูสูง

ตัดใจฝ่าความหนาวออกมาจากเต็นท์ เสียงหยอกล้อแกมเกทับกันถึงผลการประลอง “หมากัด” เมื่อคืน ว่าใครเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ใครเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ความหนาวเย็นแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากความรักของคนในครอบครัว คุณพ่อ พี่ น้องและหลาน ๆ ต่างพร้อมตาพร้อมตาอยู่รอบกองไฟ ในมือแต่ละคนมีถ้วยกาแฟพร้อมจิบ

มองไปรอบ ๆ เห็นจานชามที่ใส่อาหารวางอยู่บนโต๊ะหินอ่อน ขวดเหล้ายี่ห้อต่างประเทศ ขวดเบียร์ ขวดโซดา วางอยู่เกลื่อนพื้น แสดงว่าเมื่อคืนนี้ความหนาวเย็นไม่ได้ทำให้พลังในการสังสรรค์ของหลานๆลดน้อยลงแม้แต่น้อย

สักพักแต่ละคน แต่ละครอบครัวค่อย ๆ ทยอยตื่นขึ้น และมาร่วมวงสนทนา บางครอบครัวเดินออกไปตั้งท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานแทน

"ข้าวต้มเครื่อง” คืออาหารมื้อเช้าจาก “สะเมิงรีสอร์ท” เพิ่มพลังให้กับทุกคนพร้อมความกระชุ่มกระชวยที่จะออกเดินทางในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

เมื่อทุกคนพร้อม รถตู้ทั้ง ๓ คัน ก็พาเราออกจากบ้านพัก มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย คือ “ไร่ไผ่สีทอง”

ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บนเนื้อที่ราว ๕ ไร่ ถูกยกร่องเป็นแถวๆนับร้อย บนคันดินถูกคลุมด้วยพลาสติกสีใส เว้นช่องให้ต้นสตอร์เบอร์รี่ได้ขึ้นปกคลุม ช่องว่างกลายเป็นทางเดินให้นักทัศนาจรเข้าไปเก็บผลสตอร์เบอร์รี่และถ่ายรูปกันอย่างครึกครื้น

มองไปจนสุดเนื้อที่ มีกระท่อมไม้ไผ่หลังคามุงแฝกปลูกเรียงรายไว้สำหรับการพักค้างคืน ๕ หลัง เห็นผู้คนเข้าไปยืนรอถ่ายรูป อีกมุมหนึ่งมีร้านกาแฟบรรยากาศดี พร้อมอาหารไว้คอยบริการ

เสียงตะโกนของคนมาท่องเที่ยวดังแว่วมาให้ได้ยิน “เหมือนไปดูใบ” เล่นเอาผมสะดุ้ง ในใจก็คิดไปว่า “มันเกี่ยวกันอย่างไร” แต่สักครู่ก็ได้คำตอบ เพราะช่วงนี้ไร่สตอรเบอร์รี่ไม่ค่อยมีผล จึงมีแต่ใบสีเขียวเต็มไร่

พวกเราต่างแยกย้ายกันถ่ายรูปตามมุมต่างๆ มุมที่เป็นที่ชื่นชอบเป็นอย่างมากคงจะเป็นกระท่อมกลางไร่ ที่กลมกลืนไปธรรมชาติรอบ ๆ

สถานที่ต่อมา เราเดินทางไปที่ “ม่อนแจ่ม” ซึ่ง “พี่แมว” (ลูกสาวคุณลุง) ส่งรูปถ่ายไปให้ดูเมื่อเดือนก่อน พร้อมกับเน้นย้ำว่าต้องมาให้ได้ นับเป็นการเชิญชวนที่ได้ผลและทำให้พวกเราต้องมาชมในวันนี้

ระหว่างทางก่อนถึงทางขึ้นม่อนแจ่ม คนขับรถตู้ที่คอยบริการเราอย่างดีบอกว่า “คงไม่สามารถเอารถตู้ขึ้นไปได้ ให้เหมารถกระบะขึ้นไปจะดีกว่า” เพราะมองไปก็เห็นรถราขับขึ้นม่อนเป็นแถวยาวเหยียด

สักครู่รถกระบะ ๓ คันก็มารอรับพวกเรา เพราะฝีมือการประสานงานของแม่ค้าขายข้าวแกงที่พวกเราเหมาจนเกลี้ยงระหว่างรอรถมารับ

เส้นทางสู่ “ม่อนแจ่ม” ในช่วงแรก ๆ เป็นถนนกว้างสามารถขับรถสวนกันได้ แต่พอเข้าเขตชุมชน ถนนถูกปรับเป็นถนนวันเวย์หรือขับได้ทางเดียว ค่อนข้างลาดชันและหักศอกอยู่หลายจุด ทำให้รถที่ขึ้นม่อนขยับได้อย่างเชื่องช้ามาก

ในช่วงที่เป็นทางโค้งลาดชัน ในใจก็อดเสียวไม่ได้ และเมื่อประสบกับตัวเองแบบนั้นก็ทำให้เข้าใจคำแนะนำของคนขับรถตู้ที่เสนอให้พวกเราเหมารถกระบะแทน

จากจุดจอดรถยนต์ต้องเดินบนถนนดินที่ลาดชันพอสมควรขึ้นไปยัง “ม่อนแจ่ม” ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่อง เที่ยวแต่งตัวด้วยชุดกันหนาวหลากสีเดินเป็นทิวแถวตามกันไป สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของและผลไม้หลากชนิด ทุกร้านต่างมีลูกค้าแวะสอบถามและซื้อเต็มไปหมด

บนม่อนแจ่มเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด อาทิ ต้นกระหล่ำปลี และดอกดาวกระจายหลากสี

ทางเดินถูกออกแบบไว้สำหรับเดินชมสวนและถ่ายภาพลดหลั่นกันไปถึงข้างล่าง โดยมีดอกไม้ปลูกแซมกันไประหว่างทางเดิน ทำให้นักท่องเที่ยวได้ใกล้ชิดกับดอกไม้ทุกย่างก้าวเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละจุดก็จะมีนักท่องเที่ยวมายืนถ่ายรูปเต็มพื้นที่

นอกจากสวนดอกไม้ที่แสนสวยแล้ว จุดที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่งก็คือ กระท่อมไม้ไผ่ที่ปลูกเรียงรายตามขอบม่อนใกล้ชิดธรรมชาติ มองออกไปเห็นความเขียวขจีของต้นไม้บนยอดเขาลดหลั่นกันไปจนสุดสายตา มีนักท่องเที่ยวต่อคิวกันขึ้นไปถ่ายรูปเช่นเคย

ร้านค้าบนม่อนก็คลาคล่ำเต็มไปด้วยลูกค้า “ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า”

ความตั้งใจของผมที่จะมาถ่ายรูปวิวและธรรมชาติบนม่อนตามรูปที่ “พี่แมว” ส่งไปให้ดูล่วงหน้า จึงไม่สามารถทำได้ ทำได้เพียงการเดินถ่ายรูปดอกไม้สีสวยๆ บริเวณที่ไม่มีคนเท่านั้น

จุดที่เป็นที่สนใจของผู้คนที่ไปที่ม่อนแจ่มอีกจุดหนึ่งก็คือ รถล้อเลื่อน พวกหลานๆ ผู้ชายต่างไปใช้บริการกัน วิธีการก็ง่าย ๆ โดยนำล้อเลื่อนที่ทำด้วยไม้ มีล้อสี่ล้อ นั่งได้สองคน มาวางไว้บนยอดเนินแล้วปล่อยให้ไหลลงไปด้านล่าง ใครถึงเส้นชัยก่อนก็เป็นฝ่ายชนะ เป็นเกมที่สนุกสนานมากทีเดียว

เวลาล่วงเลยมาจนถึงเกือบบ่ายสามโมงเย็นแล้ว “ปรึกษากันว่าจะไปไหนต่อ” บางคนอยากพัก บางคนอยากไปต่อ สุดท้ายเลยแบ่งเป็น ๓ ทีม ทีมแรกเตรียมอาหารการกิน ทีมที่สองไปสนามรถแข่ง ATV ทีมที่สามขับรถชมธรรมชาติ แต่สุดท้ายทีมที่สองกลับถึงบ้านพักก่อนเพื่อน เพราะหลงทางและหาสนามแข่งรถไม่เจอ

เย็นนี้ “พี่แมว” พาลูก หลานและทีมอีก ๖ ชีวิตมาสมทบ ซื้ออาหารการกินมาเสริมเพียบ ทางด้านน้องชายก็ซื้อไก่กับปลาสดติดมือมาด้วย ก็เลยใช้กองไฟเป็นที่ปิ้งย่างกินกันแบบพรานป่า สร้างสีสันยามค่ำคืนให้สนุกครึกครื้นยิ่งขึ้น

นอกจากครอบครัวของเราแล้ว บ้านหลังอื่นๆ ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาพักค้าง อีกทั้งทางรีสอร์ทก็ได้จัดเวทีคาราโอเกะไว้บริการลูกค้า ผลจากการใช้ไฟมากกว่าวันปกติ มีบางช่วงไฟฟ้าไม่พอใช้ ติดๆดับๆอยู่หลายเวลา

กิจกรรมภาคกลางคืนของพวกเราก็คล้ายๆ กับคืนแรก มีทั้งกลุ่มสังสรรค์รอบกองไฟ กลุ่มเกมอินเทอร์เน็ต และกลุ่มหมากัด

ผมขอละตัวจากวงหมากัด “ตัดใจ” อาบน้ำตอนห้าทุ่มเศษ แม้อากาศจะหนาวเหน็บแต่เครื่องทำน้ำอุ่นก็ช่วยให้การอาบน้ำตอนเกือบเที่ยงคืนไม่ทุกข์ใจจนเกินไปนัก

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผ้าห่มนุ่มๆ หนาๆ กลับชวนนอนมากกว่ากลับไปต่อ เปิดสมาร์ทโฟนดูข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโลก เห็นข้อความที่เพื่อนๆ ส่งความสุขและคำอวยพรมาให้ล้นหลาม ตอบกลับไปได้หลายคน ในใจก็อดคิดไปไม่ได้ว่า “เดี๋ยวนี้โลกมันแคบจริงๆนะ”

เวลาบนหน้าสมาร์ทโฟนบอกเวลาเกือบตีหนึ่งของวันใหม่แล้ว เสียงหลานๆรอบกองไฟลดความดังลงเรื่อยๆ จนท้ายสุดก็เงียบไป พร้อมกับผมที่เข้าสู่ห้วงนิทราแบบสุขใจจนรุ่งเช้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น