วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

รักจากใจจร

๒๐ มกราคม ๒๕๕๗

“น้องวิน” ครับ

เป็นอีกวันที่พ่อหยิบหนังสือของ “นิโคลัส สปาร์ก” (NICHOLAS SPARKS) มาอ่านเป็นเล่มที่ ๓ แล้ว และยิ่งคนแปลเป็นกวีซีไรท์นาม “จิระนันท์ พิตรปรีชา” ด้วยแล้ว ยิ่งกระตุ้นให้พ่อจดจ่อกับการอ่านหนังสือของนักเขียนคนนี้มากยิ่งขึ้น กับภาษาที่สรรค์สร้างอย่างวิจิตรบรรจงทำให้ผู้อ่านเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องราวของตัวละครเสมือนเข้าไปสู่ในเหตุการณ์จริง

“รักจากใจจร” แปลมาจากเรื่อง “DEAR JOHN” เป็นเรื่องราวของ “จอห์น” เด็กหนุ่มวัย ๒๐ ปี ที่อาศัยอยู่ตามลำพังกับพ่อที่มีชีวิตวันๆหมดไปกับการสะสมและค้นคว้าเรื่องราวของเหรียญกษาปณ์ชนิดต่างๆ นี้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่พ่อหาเรื่องมาคุยกับเขาได้ทั้งวัน จนสร้างความเบื่อหน่ายให้กับเขาอย่างมาก และนำมาสู่การตัดสินใจหาเรื่องออกจากบ้านเพื่อไปหางานทำที่อื่นแทน

ในที่สุด “จอห์น” ก็ไปสมัครเป็นทหารราบนานถึง ๔ ปี หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกแล้ว เขาถูกส่งไปประจำการที่ประเทศเยอรมัน ผ่านไปกว่า 3 ปี เขาได้ลาพักร้อนกลับมาหาพ่อ แต่ชีวิตพ่อเหมือนถูก แช่แข็งไว้กับกาลเวลาที่ไม่เคยผันผ่าน พ่อยังคงคลุกอยู่กับเหรียญกษาปณ์ในห้องส่วนตัว เรื่องที่สนทนากันระหว่างพ่อกับลูกก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ แบบอดีต

ด้วยความเบื่อหน่ายพ่ออย่างยิ่ง เขาจึงออกไปเดินเล่นที่ชายหาดแห่งหนึ่งและนั่งทอดอารมณ์อยู่บนสะพานที่ยื่นไปในทะเล เหม่อมองดูคลื่นที่ซัดสาดเข้าหาฝั่งอย่างไม่มีวันหยุด ใจคิดโกรธพ่อที่มอบความรักให้กับเหรียญกษาปณ์มากกว่าตัวเขา

ทันใดนั้นสายตาเขาก็พลันเห็นหนุ่มสาว ๒ คู่ เดินมาที่กลางสะพาน ห่างจากที่เขานั่งอยู่ไม่ไกลมากนัก เพียงครู่เดียวเขาเห็นชายคนหนึ่งเดินพลาดจนเตะกระเป๋าใบหนึ่งที่วางอยู่ตกลงสู่ทะเลเบื้องล่าง เสียงของหนุ่มสาวทั้งสี่ร้องตะโกนโวกเวก แต่ทุกคนกลับยืนนิ่งตกใจ

วินาทีนั้นเขาตัดสินใจกระโจนลงไป ดำผุดดำว่ายอยู่ชั่วคู่ และในที่สุดก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับกระเป๋าใบนั้น

และนี้เองคือจุดเริ่มต้นของ “รักแรกพบ” ระหว่าง “จอห์น” ที่มีต่อ “ซาวันนาห์” เจ้าของกระเป๋าใบนั้น

“ซาวันนาห์” แนะนำให้เขารู้จักกับเพื่อนที่มาออกค่ายอาสาในบริเวณนั้นด้วยกัน หนึ่งในนั้น คือ “ทิม” เพื่อนชายคนสนิทของเธอ เธอเล่าให้ “จอห์น” ฟังว่า “ทิม” มีน้องชายชื่อ “อลัน” เป็นเด็กออทิสติก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เธอตัดสินใจเรียนสาขานี้เพื่อนำความรู้มาช่วยเหลือ “อลัน” และคนกลุ่มนี้ที่ยังมีอยู่อีกมากในสังคม

ช่วงเวลา ๑ สัปดาห์ที่เหลืออยู่สำหรับการลาพักร้อน เขาเทียวรับเทียวส่ง “ซาวันนาห์” พาไปเล่นกระดานโต้คลื่น ขี่ม้า กินอาหารค่ำด้วยกัน จนพัฒนากลายเป็น “คู่รัก” ขึ้นมา

“จอห์น” พาแฟนสาวไปพบพ่อของเขา “ซาวันนาห์” จึงรู้ว่าพ่อของ “จอห์น” มีอาการของโรคแอสเพอร์เจอร์ ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับพัฒนาการชนิดหนึ่ง เธอจึงหาซื้อหนังสือเพื่อหาวิธีการมาดูแลพ่อของเขา “จอห์น” รู้สึกโกรธมาก แต่ “ทิม” ก็เข้ามาเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้ทั้งคู่เข้าใจกัน

เมื่อหมดเวลาลาพักร้อน “จอห์น” กลับไปรับราชการทหาร หัวใจของเขาเปลี่ยนไปจนเพื่อนๆ สงสัย ทุกๆวันเขาจะคิดถึงแต่ “ซาวันนาห์” มีเวลาว่างเมื่อใดก็จะโทรศัพท์ไปคุยกับเธอ และเร่งวันเร่งคืนที่จะให้ถึงเวลาลาพักร้อนครั้งหน้าอย่างใจจดจ่อ

เมื่อวันเวลาแห่งการรอคอยมาถึง “ซาวันนาห์” มาคอยรับเขาที่สนามบิน ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างคุ้มค่าสมกับการถวิลหาทางใจและโหยหาทางกาย ต่างสัญญากันว่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาทำงานอีก ๖ เดือนข้างหน้า ทั้งคู่จะกลับมาแต่งงานกัน

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เกิดเหตุการณ์ ๙ กันยายน ๒๐๐๑ ประเทศของเขาประกาศเปิดรับสมัครทหารเพิ่มเป็นจำนวนมาก “จอห์น” ตัดสินใจอยู่ช่วยชาติตามเพื่อนๆ ของเขาต่อ ซึ่ง“ซาวันนาห์” ก็เข้าใจและสัญญาว่าจะรอเขากลับมาอีก ๒ ปีข้างหน้า เขาถูกส่งตัวไปประจำการที่ประเทศอิรัก ทำให้การติดต่อของทั้งคู่จึงต้องขาดหายไป

เมื่อเขาถูกส่งตัวกลับมายังค่ายทหาร สิ่งที่เขาพบก็คือ จดหมายของ “ซาวันนาห์” ที่เขียนมาบอกว่า “ขอโทษและกำลังจะแต่งงาน”

“จอห์น” เสียใจมาก ชีวิตของเขาเหมือนหมดทุกสิ่ง คนที่เขารักก็หนีไปแต่งงาน เขาเหลือพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยามใดที่คิดถึงพ่อ ก็อดคิดถึงภาพที่มีแต่เหรียญกษาปณ์ขึ้นมาไม่ได้ เขาตัดสินใจต่อเวลาทำงานเป็นทหารออกไปอีก ๔ ปี เพื่อที่จะได้ลืม “ซาวันนาห์” คนที่เขามอบหัวใจรักเต็มดวงนี้ให้

เขากลับมาบ้านเกิดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อมาเยี่ยมพ่อของเขาที่แก่ลงไปมากและพบว่าไม่สบายอย่างหนัก เขารีบจัดแจงพาพ่อไปพักรักษาตัวที่ศูนย์พักรักษาตัวระยะยาวที่มีแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี ก่อนที่จะเดินทางกลับเยอรมันในวันรุ่งขึ้น

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาได้พบกับทนายความประจำตัวพ่อ และทราบว่าพ่อได้ทำพินัยกรรมยกเหรียญกษาปณ์ให้กับเขาทั้งหมด และเพียงไม่ถึงเดือนถัดมา เขาก็ได้รับข่าวร้ายว่าพ่อได้เสียชีวิตลงแล้ว เขาลางานอีกครั้งกลับมาจัดการศพของพ่อ ซึ่งมีเพียงเจ้าหน้าที่บ้านพักไม่ถึงสิบคนมาร่วมงาน

หลังเสร็จสิ้นงานศพ “จอห์น” รู้สึกว้าเหว่เป็นที่สุด ไม่รู้จะตัดสินใจต่อไปอย่างไร เขาตัดสินใจขับรถคันเก่าของพ่อมุ่งหน้าไปตามทางที่ใจเรียกร้อง

ในที่สุดเขาดั้นด้นจนมาพบบ้านของ “ซาวันนาห์” เรื่องราวต่างๆในช่วงที่ทั้งคู่ห่างหายไปถูกรื้อฟื้นขึ้นมา หนึ่งเรื่องสำคัญ คือ เหตุผลที่ “ซาวันนาห์” ต้องตัดสินใจแต่งงานกับชายอื่น

หลังจากที่ “จอห์น” กลับไปรับราชการทหารได้ไม่นาน พ่อและแม่ของ “ทิม” เกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตทั้งคู่ “ทิม” ต้องกลายเป็นผู้ดูแล “อลัน” ตามลำพัง ช่วงนี้เองที่ทำให้ “ซาวันนาห์” ได้กลับไปใกล้ชิดกับ “ทิม” อีกครั้งหนึ่ง เพราะเธอต้องเข้าไปดูแล “อลัน” เช่นเดียวกัน รวมทั้งต้องทำงานในโครงการวิจัยเรื่องเดียวกัน จนวันหนึ่ง “ทิม” จึงเอ่ยปากขอแต่งงาน

“ฉันรักเขานะ แต่ก็เป็นรักที่ไม่เหมือนที่ฉันรักเธอนะ”

จอห์นเมื่อรู้ความจริง ความรักกลับเข้ามาแทนที่ ความโกรธเคืองเมื่อครั้งอดีตได้หายไป แต่เวลานั้นสถานะต่างๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาจึงทำได้แต่เพียงเก็บงำความรักให้ท่วมท้นอยู่ภายในใจเพียงเท่านั้น

“ซาวันนาห์” อยากให้ “จอห์น” ได้เจอกับสามีของเธอ จึงขับรถพาเขาไปที่โรงพยาบาล ภาพที่ปรากฏต่อสายตา คือ “ทิม” กำลังนอนอยู่บนเตียงในสภาพที่อิดโรย ร่างกายดูผ่ายผอมผิดไปจากความทรงจำเดิม เขาทักทาย “ทิม” แต่ “ทิม” ก็ทำได้เพียงการกล่าวตอบรับเขาเพียงไม่กี่คำก่อนที่จะหลับไป

“ทิม” เป็น “โรคมะเร็งไฝ” ต้องเข้าออกโรงพยาบาลตลอดช่วง ๖ เดือนที่ผ่านมา ภาระหน้าที่ในการดูแลคอกม้าและ “อลัน” จึงตกมาอยู่ที่ “ซาวันนาห์” เพียงคนเดียว และขณะนี้เธอต้องหาเงินจำนวนมากเพื่อมารักษา “ทิม” ด้วยวิธีการใหม่ให้ได้ผลกว่าที่เป็นอยู่

ความรู้สึกสงสาร “ซาวันนาห์” เพิ่มมากขึ้น ตลอดคืนเขาครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไรดีกับสิ่งที่ได้รับรู้นี้

เช้าวันนั้นเขาบึ่งรถไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง “ทิม” ขอโทษ “จอห์น” ที่แย่งความรักจากเขามา และ หากเขาตายไปขอให้ “จอห์น” อย่าทิ้ง “ซาวันนาห์”

ขณะนั้น “ซาวันนาห์” ได้นั่งรออยู่ที่รถของเธอ “ซาวันนาห์” พยายามจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ แต่ “จอห์น” ก็พยายามหักห้ามใจ

“ผมรักคุณ.....ซาวันนาห์ และจะรักคุณตลอดไป คุณเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตผม เป็นเพื่อนและคนรักที่ดีที่สุด ทุกนาทีของเรามีค่ามากสำหรับผม คุณให้ชีวิตใหม่แก่ผม และเหนือสิงอื่นใด คุณทำให้ผมกับพ่อได้เข้าใจกัน ผมจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้ คุณจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดของผมตลอดไป ผมเสียใจที่มันจะต้องจบลงแบบนี้ แต่ผมต้องไป และคุณจะต้องกลับไปหาทิม ผู้เป็นสามีคุณ”

“ฉันก็รักคุณค่ะ…จอห์น”

เขารีบขับรถออกมาจากโรงพยาบาล สายตามองผ่านไปที่กระจกมองหลัง “ซาวันนาห์” กำลังร้องไห้โฮก่อนที่จะก้าวเดินไปตามทางเชื่อมตึกในโรงพยาบาล

ก่อนเดินทางกลับไปเยอรมัน เขาโทรหาคนรับซื้อเหรียญกษาปณ์และได้เงินก้อนโตมาก้อนหนึ่ง เขาขอให้ทนายความของเขานำเงินที่ขายเหรียญกษาปณ์ได้นั้นไปมอบให้กับ “ซาวันนาห์” เพื่อใช้รักษาตัว “ทิม” โดยห้ามบอกว่าใครเป็นผู้มอบเงินจำนวนนั้น ขอเพียงให้รายงานผลการรักษาให้เขาทราบเท่านั้น ซึ่งเขาดีใจเป็นที่สุดเมื่อทราบจากทนายความว่า “ทิม” มีสุขภาพดีขึ้นตามลำดับ

วันหนึ่ง “จอห์น” เดินทางขึ้นไปยังเนินเขา หาที่ซ่อนตัวซึ่งสามารถมองลงไปยังบ้านของ “ซาวันนาห์” กับ “ทิม” แค่เพียงอยากเห็น “ซาวันนาห์” อีกสักครั้ง เขานั่งรอจนตะวันกำลังใกล้ลับฟ้า

และในที่สุด “ซาวันนาห์” ก็ก้าวเดินออกมายืนอยู่บนขั้นบันไดบ้าน กวาดสายตาไปรอบบ้าน แวบหนึ่งหันมามองตรงจุดที่เขายืนซุ่มอยู่ ใจเขารู้สึกเย็นวาบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่เธอก็ไม่เห็นเขา และค่อยๆ เดินลงไปยังกลางลานบ้าน

“ซาวันนาห์” ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นช้าๆ เขาเห็นท่วงท่าเธอกำลังดื่มด่ำกับดวงจันทร์อันสุกสกาว กระแสแห่งความทรงจำในอดีตเมื่อครั้งหนึ่งที่ทั้งคู่เคยตระกองกอดกันใต้แสงจันทร์ในวันนั้นได้คืนกลับมา “จอห์น” ค่อยๆแหงนขึ้นมองดวงจันทร์ดวงเดียวกันนั้น ด้วยความรู้สึกที่เหมือนทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องราวของ “รักจากใจจร” จบลงเพียงเท่านี้ พ่ออ่านช่วงสุดท้ายซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เพราะความรู้สึกยังอิ่มเอมกับความรักของ “จอห์น” ที่มอบให้กับ “ซาวันนาห์” หญิงคนรักของเขา อย่างไม่ต้องการการตอบแทนใด ๆ ช่างเป็นความหมายของคำว่า “ความรัก” ที่ยั่งยืน ยาวนาน และคงทนเสมอมา เป็นความรักของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ชีวิตผันผ่านประสบการณ์และวัยวันแห่งความว้าวุ่นไปแล้ว เป็นรักที่อาบความบริสุทธิ์ของแสงจันทราที่ส่องมายังผืนโลกและโอบกอดมนุษย์ไว้ทุกผู้นามโดยไม่ลำเอียง

พ่ออยากให้น้องวินได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้บ้าง พ่อนำมาวางไว้ให้แล้วที่ชั้นหนังสือข้างล่าง ความรักของ “จอห์น” ไม่ต่างจากความรักที่พ่อมอบให้แม่กุ้งและน้องวินเสมอมาครับ

รักลูกมากครับ

“พ่อโตเอง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น