วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

ปาฏิหาริย์บันทึกรัก

๒๐ มกราคม ๒๕๕๗

“กุ้ง” ที่รัก

แม้พี่จะอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ตอนกลางคืนจนเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาบนเก้าอี้ไม้ตัวโปรดที่วางอยู่หน้าบ้าน วันนั้นเป็นเช้าที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องว่างใบไม้แต่ละใบของต้นล่ำซำที่แผ่กิ่งก้านใหญ่โตมากนักจากวันที่เราปลูก ทอดผ่านมายังสนามหญ้าเขียวขจี ที่ยังมีต้นมะม่วงอีก ๒ ต้นซึ่งใบอ่อนเพิ่งผลิขึ้นมาไม่นาน ตัดกับใบของต้นเล็บครุฑสีขาวเหลือง เป็นเช้าแห่งความอิ่มเอิบใจยิ่งนัก

แตกต่างจากช่วงที่ผ่าน ๆ มาหลายสัปดาห์กับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ส่งผลให้พี่เคร่งเครียดและกังวล จึงต้องหาทางผ่อนคลายความตึงเครียดที่สะสมอยู่บ้าง หนทางหนึ่ง คือ การหาหนังสือดีๆ เช่นเล่มนี้มาอ่าน

ไม่รู้เป็นเพราะว่าพี่หลงใหลในผลงานการแปลนวนิยายของ “จิระนันท์ พิตรปรีชา” กวีซีไรท์หรืออย่างไร ที่ช่างสรรหาถ้อยคำมาเรียงร้อยและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรแต่ละคำจนสวยสดงดงามจนสร้างความตื้นตันในอารมณ์ ซึ่งต้องบอกว่าเมื่อพี่ได้อ่านแล้ววางไม่ลงจริง ๆ และเมื่ออ่านไปเหมือนมีน้ำตารินไหลออกมาหลายช่วงในระหว่างดื่มด่ำแต่ละบรรทัด

“ปาฏิหาริย์บันทึกรัก” เป็นหนังสือที่แปลมาจากเรื่อง “The Notebook” ของ “นิโคลัส สปาร์ก” (NICHOLAS SPARKS) คนเขียนคนเดียวกับเรื่อง “A Walk to Remember” ที่พี่เคยเขียนจดหมายเล่าให้ฟังเมื่อเดือนก่อนนั้น นอกจากเรื่องราวจะตราตรึงไปกับความรักของชายหญิงคู่นี้แล้ว พี่ยังอยากเล่าให้เป็นเรื่องที่มาผ่อนคลายความตึงเครียดของกุ้งที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

นวนิยายเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของ “โนอาห์” ชายวัย ๘๐ ปี ที่เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว เขากำลังทอดสายตาเหม่อมองออกไปทางหน้าต่างของบ้านพักคนชราแห่งหนึ่ง และหวนคะนึงถึงกิจวัตรประจำวันที่เคยปฏิบัติมากว่า ๔ ปี

ทุก ๆ วันก่อนหน้านี้ “เขา” จะนั่งอ่าน “บันทึกรัก” ชีวิต “เขาและเธอ” ในช่วงที่อยู่ด้วยกันมากว่า ๔๕ ปี ให้กับ “แอลลี่” ภรรยาที่นอนป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และพักรักษาตัวอยู่ที่เดียวกัน ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้จักเบื่อ ด้วยเชื่อว่า “ปาฏิหาริย์” จากการอ่านบันทึกเล่มนั้นจะปรากฏขึ้นในสักวันหนึ่ง

แต่มาสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง โรคอัมพฤกษ์กลับเดินมาสู่ชีวิตเขาโดยมิทันระวังตัว ความเจ็บป่วยของร่างกายมิเทียบเท่าความทรมานใจอย่างรวดร้าว ยามที่เขาต้องถูกจับแยกห้องกับ “แอลลี่” เช่นนี้

“วันนี้ใครจะดูแลเธอแทนเขา เธอเป็นอย่างไรบ้าง และวันนี้เธอคงไม่ได้ฟังคนอ่านบันทึกให้เธอฟังอย่างแน่นอน” เขาไม่สามารถหยุดความคิดถึงเธอได้แม้แต่วินาทีเดียว

วันครบรอบแต่งงานเวียนมาถึงอีกครั้ง เขาค้นเจอจดหมายที่เป็นลายมือของ “แอลลี่” ที่เขียนไว้เมื่อ ๔ ปีก่อน ตอนที่เธอเริ่มรู้ตัวว่าเป็น “อัลไซเมอร์” เขาหยิบจดหมายฉบับนั้นมาอ่านอีกครั้ง มือที่ถือกระดาษจดหมายสั่นไหวพร้อมกับใจที่สั่นหวิว เพ่งสายตาไล่เรียงไปตามตัวอักษรที่ยาวกว่า ๒ หน้ากระดาษ

“ได้โปรดอย่าโกรธเคืองในวันที่ฉันจำคุณไม่ได้ วันที่เราต่างรู้แน่ว่าต้องเกิดขึ้น ขอให้คุณเข้าใจว่า ฉันรักคุณ และจะรักตลอดไป และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ได้ผ่านชีวิตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว เพราะมันคือชีวิตที่มีคุณ”

หลังอ่านจดหมายจบลง “โนอาห์” ตัดสินใจโดยทันที ประคองร่างเดินอย่างแสนลำบากไปหา “แอลลี่” ที่นอนอยู่อีกฟากหนึ่งของตึก แม้จะถูกทัดทานจากพยาบาลที่มาพบเจอเข้า แต่เขาก็ขอร้องที่จะเดินไปหาคนที่เขารักสุดหัวใจให้ได้

เมื่อมาถึง เขาไม่กล้าที่จะปลุกเธอ จึงเขียนสิ่งที่อยู่ในใจของเขา ลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ สอดไว้ใต้หมอนแทน

“ในช่วงปลายท้ายราตรี…มองที่รัก
ยิ่งประจักษ์พิสุทธิ์งามความอ่อนไหว
เชิญอรุณส่องฟ้ามารำไร
แนบดวงใจปลุกรักด้วยภักดี”

ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับ เขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปลูบที่ผมของ “แอลลี่” เพื่อบอกลา ทันใดนั้นเขารู้สึกตกใจมากที่เธอลืมตาขึ้น วินาทีนั้นเขาจึงโน้มตัวลงแนบกับใบหน้าเธอ บรรจงจูบไปที่ริมฝีปาก ซึ่งเขาก็ได้รับการสนองตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

ยิ่งแอลลี่ตอบรับ เขายิ่งกระชับร่างเข้าหาไออุ่นจากกายเธอมากขึ้น เอื้อมไปกุมมือเธอ มีเสียงพึมพำออกมาว่า

“โอ…โนอาห์….ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

เขาอดที่จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ปาฏิหาริย์แห่งบันทึกรักได้เกิดขึ้นแล้ว

ความรู้สึกเขาล่องลอย ความเจ็บปวดรวดร้าวของร่างกายพลันหายปลิดทิ้ง ปลายนิ้วมือของ “แอลลี่” เริ่มควานหากระดุมบนอกเสื้อผ้าเขา แม้นจะเชื่องช้า แต่เธอก็ค่อย ๆ ปลดมันออกทีละเม็ด…ทีละเม็ด

นวนิยายจบเพียงเท่านี้ แต่กุ้งรู้ไหมว่าความรู้สึกของพี่มันยังคงอิ่มเอมไปกับความรักของทั้งคู่ต่อไปอีกนาน

พี่อยากเล่าเรื่องย่อ ๆ ของ “บันทึกรัก” ที่ “โนอาห์” ได้อ่านให้กับ “แอลลี่” ฟังทุกวันตลอด ๔ ปีก่อนหน้านั้น แล้วกุ้งจะเห็นถึงความรักแสนหวานของทั้งคู่

“แอลลี่” ในวัย ๑๕ ปี จำใจต้องเดินทางออกจากเมืองที่เคยอาศัยตามคำขอร้องของแม่ ทิ้งให้ “โนอาห์” ชายที่เธอรักวัย ๑๗ ปี ไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุผลเรื่องฐานะที่แตกต่างกัน ก่อนวันจากลา ทั้งคู่มาที่ “บ้านหลังหนึ่ง” พลอดรัก กอดก่าย และพร่ำรำพันด้วยความอาลัยตลอดคืน

ผ่านไป ๑๔ ปี “แอลลี่” ได้เห็นภาพ “บ้านหลังนั้น” อีกครั้งหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ เธอหวนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาครั้งนั้น จึงออกอุบายขออนุญาตคู่หมั้นหนุ่ม “ลอน” ทนายความหนุ่มทายาทเศรษฐีที่มีกำหนดแต่งงานในอีก ๓ สัปดาห์ข้างหน้า โดยอ้างว่าจะไปหาซื้อเครื่องใช้ไม้สอยโบราณเพื่อนำมาตกแต่งบ้าน แต่แท้จริงแล้ว เธอขับรถมุ่งหน้าสู่ที่ตั้งของ “บ้านหลังนั้น”

เมื่อ “แอลลี่” เดินทางมาถึง ภาพแรกที่เธอเห็น คือ “โนอาห์” กำลังนั่งอยู่เก้าอี้ไม้โยกตัวเดิม เมื่อทั้งสองตั้งสติได้ก็ต่างวิ่งเข้าหาและโอบกอดกัน ต่างพร่ำระล่ำระลักถึงหัวใจที่เฝ้าคอยโหยหาต่อกัน เล่าชีวิตที่แต่ละคนดำเนินไปในช่วงที่จากกันไป

“โนอาห์” เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าแม่ของ “แอลลี่” เก็บจดหมายที่เขาเขียนไปหาเธอตลอดกว่า ๓ ปีแรกที่จากกัน ทั้งคู่จึงเข้าใจผิดว่าความรักได้จางหายไปแล้ว และทำให้ “แอลลี่” ตกลงใจรับหมั้นจาก “ลอน” คนที่รักเธอเป็นที่สุดแทน ในขณะที่ “โนอาห์” ก็เฝ้ารอ “แอลลี่” มาตลอด ๑๔ ปี โดยไม่มอบความรักให้กับหญิงอื่นใด

“แอลลี่” กลับมาหา “โนอาห์” อีกครั้งหนึ่งในวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่พายเรือคยัคออกไปกลางทะเลสาบสีคราม ห่านฝูงใหญ่กำลังลอยตัวบนผืนน้ำ สายฝนเริ่มโปรยปราย ทำให้ทั้งคู่ต้องรีบพายเรือกลับบ้านพักแทน เสื้อผ้าที่เปียกปอนจากสายฝนยามแนบชิดเนื้อ สร้างอารมณ์พิศวาสแก่ทั้งคู่ยิ่งนัก

เมื่อมาถึงบ้าน เตาผิงสร้างได้เพียงความอบอุ่นทางกาย แต่ความโหยหาทางใจกว่า ๑๔ ปี ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งคู่ก่ายกอดและร่วมรักกันอย่างดูดดื่มจากเสียงเรียกร้องภายในที่พลุ่งพล่าน ปากก็พร่ำแต่อดีตที่ฝังจำ

“แอลลี่” กลับมาหาเขาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทั้งสองกำลังพลอดรักกันอยู่นั้น แม่ของ “แอลลี่” ก็ปรากฏตัวขึ้น และบอกกับลูกสาวของตัวเองว่า “ลอน” คู่หมั้นกำลังเดินทางตามมา เธอแนะนำให้ลูกสาวตัดสินใจเลือกตามที่หัวใจเรียกร้อง

ในที่สุด “แอลลี่” ก็ตัดสินใจบอก “ลอน” ว่า เธอจะขอใช้ชีวิตรักอยู่กับ “โนอาห์” ตลอดไปแทน

ชีวิตรักของทั้งคู่ยาวนานถึง ๔๔ ปี มีทายาทด้วยกัน ๕ คน ทุกคนต่างเติบโตและแยกครอบครัวไปอยู่กันเอง ทิ้งให้ “โนอาห์” อยู่กับ “แอลลี่” ตามลำพัง ณ บ้านหลังนั้น

ชีวิตคู่เมื่อเริ่มปีที่ ๔๕ “แอลลี่” ได้รับข่าวร้ายจากแพทย์ประจำตัวว่าเธอเริ่มเป็น “โรคอัลไซเมอร์” ทำให้ “แอลลี่” ต้องย้ายตัวเองไปนอนที่บ้านพักคนชราโดยมี “โนอาห์” มาคอยดูแลปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด

กิจวัตรประจำวัน “โนอาห์” จะนั่งอ่าน “บันทึกรัก” ให้กับ “แอลลี่” ฟัง บางวัน “แอลลี่” ไม่มีการตอบสนองใด ๆ แต่บางวัน “แอลลี่” ก็มีการตอบสนอง ทั้งน้ำตาไหลซึม เอามือมาจับแขนของเขา ในขณะที่บางวันเขาได้ยิน “แอลลี่” แซวเขาว่า “ฉันรู้นะว่าเธอชอบฉัน”

นี้เป็นสิ่งบ่งบอกว่า “ปาฏิหาริย์จากบันทึกรัก” มีจริง

แม้นน้อยครั้งมากที่ “โนอาห์” ได้รับการตอบสนองจาก “แอลลี่” แต่เขาก็ไม่เคยเบื่อที่จะอ่านบันทึกรักให้คนที่เขารักฟังตลอดเกือบ ๕ ปีที่เขาและเธอพักอยู่ที่บ้านพักคนชราแห่งนี้ด้วยกัน

บางตอนในนวนิยายแปลเรื่องนี้ ผู้แปลได้ถ่ายทอดออกมาเป็นบทกลอนแปดที่แสนไพเราะนับ ๑๐ บท ที่พี่ชอบมากอย่างยิ่ง คือ ๒ บทนี้

“ไม่เคยเป็นเช่นนี้ชีวีข้า
ต้องมนตรารักตรึงสุดซึ้งหวาน
ใบหน้าเธอคือมาลีที่แย้มบาน
ฉุดวิญญาณฉกหัวใจข้าไปครอง”

เป็นบทกลอนที่พยาบาลคนหนึ่งที่บ้านพักคนชรานำมาฝากให้กับ “โนอาห์” เพราะเห็นถึงความรักที่เขาได้มอบให้กับภรรยาอย่างสม่ำเสมอและไม่เสื่อมคลาย

สังขารกาลเวลาพาเสื่อมถอย
แต่ร่องรอยแห่งรักหนักแน่นเหลือ
สัมผัสด้วยจุมพิตยามชิดเชื้อ
รักยิ่งเกื้อดวงใจให้รื่นรมย์”

เป็นบทกลอนที่ “แอลลี่” เขียนบนกระดาษแผ่นน้อย ส่งให้ “โนอาห์” ในวันหนึ่งหลังจากที่ “โนอาห์” อ่านบันทึกรักจบลง

ว่าไปแล้วนะกุ้ง ความรักไม่ได้สอนให้อดทน แต่สอนให้รู้จัก "ทำ" เพื่อคนที่เรารักอยู่เสมอ

ก่อนจบจดหมายฉบับนี้ พี่ขอยกข้อความตอนหนึ่งที่ช่างตรงกับความรู้สึกของพี่เพื่อมอบให้กับคนที่พี่รัก

“กวีมักบรรยายถึงความรักว่า เป็นสภาพอารมณ์ที่เราไม่อาจควบคุมได้ อารมณ์ที่อยู่เหนือตรรกะและเหตุผลใด ๆ ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้น ผมไม่เคยวางแผนว่าจะรักคุณ และคุณเองก็คงไม่ได้ตั้งใจจะมารักผม แต่ทันทีที่พบกัน เราต่างไม่สามารถกำหนดหรือควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ เราตกหลุมรักกันโดยไม่คำนึงถึงข้อแตกต่างใด ๆ และเมื่อมันเกิดขึ้น ความงดงามชนิดที่จะหาไม่ได้อีกแล้วก็ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับผม ความรักแบบนี้ เกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะฉะนั้นผมถึงต้องจดจำทุก ๆ นาที ที่เราเคยมีร่วมกัน ไม่เคยลบเลือนแม้แต่น้อยนิด”

ด้วยรัก

“พี่เอง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น