๔ มกราคม ๒๕๕๗
แสงแรกยามเช้าของตะวันฤดูหนาวค่อยๆ สาดส่องมายังเต็นท์ที่วางเรียงรายโดยรอบนับสิบ เสมือนเป็นการปลุกให้ผู้คนที่ต่างหลับใหลลุกขึ้นมารับอรุณรุ่งของวันใหม่
กว่า ๖ ชั่วโมงที่ผมหลับไปภายในเต็นท์ที่ตั้งอยู่หน้าบ้านพักหลังใหญ่ของ “สะเมิงรีสอร์ท”
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี ๒๕๕๖ แล้วซินะ” พลันหวนคำนึงถึงสิ่งที่ผันผ่านมาตลอด ๓๖๕ วันที่กำลังจะล่วงไป ทั้งรื่นรมย์ สดชื่น กังวล สับสน ประสมปนเปเข้ามาในชีวิตหลากหลาย
หลายคนในทีมของพวกเราตื่นขึ้นมาแล้ว รอบกองไฟยังเป็นเวทีสนทนาและกระเซ้าเย้าแหย่ยามเช้าเหมือนเช่นวันวาน ไอความเย็นลอยออกจากปากของแต่ละคนยามเอ่ยทักทายกัน
"พี่โตหนีไปนอนเลยนะ....” คำทักทายแรกจากน้องชายที่กำลังนั่งผิงไฟรับไออุ่นอยู่ ผมส่งยิ้มกลับไปเป็นคำตอบ ความหนาวเย็นของฤดูกาลไม่ปราณีใคร แม้ว่าความสนุกสนานของวง “หมากัด” จะเย้ายวนเพียงใดก็ตาม
“ข้าวต้มทรงเครื่อง” ชวนลิ้มลองฝีมือของแม่ครัว “สะเมิงรีสอร์ท” ถูกนำมาบริการพร้อมกาแฟร้อน
หลานๆ หลายคนเริ่มทยอยเก็บเศษถุง ขวดเปล่า และขยะต่างๆ นานา บางคนพับเก็บเต็นท์ บางคนอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเป็นชุดที่ทะมัดทะแมงพร้อมออกเดินทาง
สัมภาระทุกชิ้นถูกนำขึ้นไปจัดวางบนรถตู้ คนขับรถตู้ทั้ง ๓ คัน ค่อยๆ เร่งเครื่องเคลื่อนตัวทิ้งความทรงจำของการมาพัก ณ ที่แห่งนี้ ไว้เบื้องหลัง เช่นเดียวกับที่ขบวนรถยนต์ของผู้ที่มาพักของกลุ่มอื่น ๆ เริ่มทยอยขับออกจากบ้านพักเช่นเดียวกัน
ผมหันกลับไปมองพร้อมกล่าวคำขอบคุณที่ให้ที่พักพิงสำหรับครอบครัวผมในช่วง ๒ วันที่ผ่านมาอย่างดียิ่ง
เส้นทางสายหางดงเป็นเส้นทางสายใหม่ที่เราใช้เดินทางกลับ และถึงกับบางอ้อเมื่อพบป้ายสนามแข่งขัน ATV ที่เมื่อวานนี้หลายคนหลงหาไม่เจอ
ข้อความบนไลน์ (line) จากน้องชายที่นั่งอยู่ในรถคันหน้าย้ำเตือนให้คนที่อยู่ในรถตู้คันหลังปรากฏเป็นระยะตลอดเส้นทางว่า “เส้นทางคดเคี้ยวมาก ให้ระมัดระวังด้วย”
ในที่สุดเราก็มาถึง “กาดพยอม” คำเรียกของคนแถวนั้น หรือ “ตลาดต้นพะยอม” ซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนเลียบคลองชลประทานตัดกับถนนสุเทพ ใกล้ๆ วัดสวนดอก
เพียงแค่เปิดประตูรถตู้ กลิ่นข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ลอยมาปะทะ ที่นี่เป็นแหล่งจับจ่ายอาหารการกินและของฝากอีกแหล่งหนึ่งของเชียงใหม่ ไม่แพ้ “กาดวโรรส” ออกจะสะดวกสบายกว่าด้วยซ้ำ เพราะลงจากรถก็ถึงตัวกาดทันที
วันนี้ผู้คนแน่นตลาด จะซื้ออะไรทั้งทีก็ต้องยืนรอให้แม่ค้าบริการคนที่มาก่อนหน้าให้เสร็จไปก่อน เมื่อถึงเวลานัดหมาย ทุกคนต่างหอบหิ้วถุงของฝากของกินกันถ้วนทั่ว ที่ว่างบนรถเริ่มไม่พอที่จะวางของ
ล้อรถเริ่มหมุนอีกครั้ง ขับตามกันไปบนเส้นทางเชียงใหม่ – ลำพูน – ลำปาง จนมาถึง “ตลาดทุ่งเกวียน” ตลาดที่มีสินค้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะสินค้าของชาวเขาที่วางขายอย่างดาษดื่น ซึ่งก็เช่นเดิมมีผู้แวะเวียนมาจับจ่ายซื้อของแน่นขนัด กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็เล่นเอาเหนื่อยทีเดียว
ที่นี่มีศูนย์อาหารที่มีร้านค้านับสิบเจ้า จึงกลายเป็นสถานที่บริการอาหารกลางวันสำหรับชาวคณะเกือบ ๓๐ ชีวิตไปด้วย เมื่อท้องอิ่มร่างกายเริ่มมีพลัง กิจกรรม “ตะลุยตลาด” ก็เกิดอีกคำรบ จนที่ว่างบนรถที่แทบหาไม่ค่อยได้อยู่แล้วต้องคับแคบลงไปอีก
นาฬิกาจากโทรศัพท์บอกเวลาว่าบ่ายโมงเศษแล้ว เป้าหมายต่อไปคือบ้านที่ตำบลท่าฬ่อ สถานที่เค้าท์ดาวน์ (countdown) คืนนี้
รถแต่ละคันขับผ่านถนนลาดยางที่คดเคี้ยวโดยใช้เส้นทางเดียวกับขามา แวะจอดยืดเส้นยืดสายและเข้าห้องน้ำตามปั๊มเป็นระยะๆ สำหรับผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความเปลี่ยนแปลงของปั๊มน้ำมันในช่วง ๕ – ๖ ปีมานี้ ในครั้งนั้นสมัยยังทำงานอยู่ที่กรมอนามัย และผลักดันให้เกิดโครงการ “ส้วมสาธารณะสะอาดน่าใช้” วันนั้นสภาพห้องน้ำแตกต่างจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง
เกือบหกโมงเย็น พวกเราเดินทางมาถึงบ้านที่ตำบลท่าฬ่อ สาวๆ รีบเข้าครัวจัดเตรียมอาหารสำหรับงานสังสรรค์คืนนี้ หนุ่มๆ ขนเครื่องเสียงมาตั้ง เปิดเพลงเสียงดังเรียกความครึกครื้นให้กับทุกคน
เสียงเพลงคาระโอเกะจากสมาชิกในครอบครัว ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ สลับสับเปลี่ยนกันไป อาหาร ถูกลำเลียงออกมาบริการ น้ำหวานและน้ำชาทั้งในและต่างประเทศถูกชงใส่แก้วบริการสำหรับสมาชิกที่มาร่วมงาน แสงไฟสลับสีเริ่มส่งแสงกระพริบ บริเวณลานกว้างมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ครอบครัวของผมจัดงานแบบนี้ต่อเนื่องกันมานับสิบๆ ปีแล้ว เป็นที่อิจฉาของบ้านใกล้เรือนเคียงที่ห่างหายไปจากกิจกรรมลักษณะดังกล่าวนี้
นอกจากกิจกรรมสังสรรค์แล้ว วง “ไพ่ตอง” เป็นกิจกรรมในหมู่ผู้ใหญ่ที่ทุกคนต่างรอคอย เพราะสร้างความสนุกสนานไม่ต่างจากกิจกรรมของกลุ่มวัยรุ่นและวัยเด็กแม้แต่น้อย
อีก ๑๕ นาที ผมและครอบครัวราว ๓๐ ชีวิต ต่างทะยอยกันเดินทางมาร่วมกันนับถอยหลังช่วงเวลาที่จะก้าวข้ามไปสู่ปี ๒๕๕๗
ทุกคนต่างมารวมกันที่ลานซึ่งถูกจำลองเป็นเวทีขนาดเล็กสำหรับกิจกรรมในค่ำคืนนี้ เสียงเพลง “ขอใจแลกเบอร์โทร” จากเหลนสาวคั่นจังหวะเวลาใหม่ที่กำลังจะเดินทางมาถึง
“เตรียมพลุให้พร้อมนะ” เสียงคุณพ่อสั่งการหลาน ๆ
อาจเป็นเพราะเพื่อนบ้านหลายคนบอกมาว่า “จะรอดูว่าสวยขนาดไหน” จึงกลายเป็นพลังให้คุณพ่อของผมลงทุนกับกิจกรรมนี้ไปมิใช่น้อย
เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน บ่งบอกว่าปี ๒๕๕๖ ได้สิ้นสุดลง ปี ๒๕๕๗ ได้เริ่มขึ้น
เมื่อสิ้นเสียง “หนึ่ง” พลุไล่เรียงกันนับสิบดอกก็แผดดังขึ้นพร้อมกับส่งแสงประกายสว่างวาบทั่วฟ้า เรียกเสียงฮือฮาให้กับคนทั้งบ้านและเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ต่างมาเฝ้ารอดู
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากคุณพ่อ แววตาบ่งบอกถึงความสุขใจยิ่งนักในค่ำคืนนี้ เสียงเพลง “รำวงวันขึ้นปีใหม่” เริ่มดังขึ้น ผมรีบจับไมค์ขอร้องเป็นต้นเสียงโดยมีพี่สาวและน้องชายช่วยร้องรับ โคมลอยที่ซื้อมาจากเชียงใหม่ถูกจุดปล่อยส่งความทุกข์ให้ลอยไปในท้องฟ้า
“ขอให้ลูก ๆ หลาน ๆ มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง มีเงินมีทองใช้ คิดอะไรก็ให้สมความมุ่งมาดปรารถนา” เป็นคำอวยพรอันมีคุณค่าที่คุณพ่อเปล่งจากใจมอบให้กับลูกหลานในค่ำคืนนี้
เสียง “สาธุ” ดังขึ้นพร้อมกัน พร้อมกับใจที่ภาวนาขอให้พรนั้นให้เป็นจริง
วัยวันที่ก้าวล่วงผ่านแต่ละปี ความรัก ความอบอุ่น ความทรงจำที่เต็มไปด้วยเยื่อใยของความเป็นพี่เป็นน้องของชีวิตเกือบ ๓๐ ชีวิต ที่ทุกคนช่วยกันหล่อเลี้ยงและสืบสานมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นการถักทอสายใยที่ร้อยรัดเพราะเราคือครอบครัวเดียวกันไว้ด้วยกันตลอดมา ในชีวิตเราจะมีสักกี่คนที่ได้ใช้เวลาร่วมกันทั้งชีวิตแบบนี้ คนที่เราผูกพันด้วยมากที่สุด และมีความทรงจำร่วมกันมากที่สุด
บันทึกวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ของผมก็คงจบลงเพียงเท่านี้ นับถัดจากนี้อีกไม่นานทุกคนต้องแยกย้ายกันไปตามบทบาทหน้าที่และครรลองชีวิตของแต่ละคน แต่ในใจของผมก็เฝ้าภาวนาว่ากิจกรรมที่อบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่นแบบนี้จะดำรงต่อไปไม่มีวันสาบสูญไปจากครอบครัวเรา
นี้เองคือรากฐานของสังคมไทยที่เล็กที่สุด แต่ส่งผลถึงความเป็นชาติที่มั่นคง ผมจึงขอเอ่ยฝากคำขอบคุณมายังพวกเราทุกคนที่ช่วยกันสร้างสรรค์กิจกรรมที่มีคุณค่านี้ไว้
พบกันอีกทีปีหน้า ๒๕๕๘ ผมอาสาจะเก็บเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นมาเล่าสู่กันฟังอีก ผมขอยืนยันครับ.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น