วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

คิดอะไรไม่ออกบอก ๑๖๖๙

๖ มกราคม ๒๕๕๗

แม้ตอนนั้นเพิ่งจะเป็นเวลาเริ่มต้นวันใหม่ เข็มนาฬิกาบอกเวลา ๖ โมงเช้า แสงทองของดวงอาทิตย์ก็เพิ่งเริ่มทอแสงทาบฟ้า แต่ใจของผมกลับเริ่มหม่นลงแทน หลังจากที่ไม่เห็นวี่แววว่าจะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรดี

๑๐ กว่านาทีผ่านไป วินาทีนั้นจึงตัดสินใจเขียนข้อความบนไลน์ (line) ไปที่กลุ่มไลน์ (line)๓ กลุ่ม สองกลุ่มแรกเป็นกลุ่มคนที่ทำงานเดียวกัน อีกกลุ่มเป็นกลุ่มเครือข่ายของผู้เข้าอบรมหลักสูตรหนึ่งที่องค์กรผมทำงานเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อม ๆ กับโพสต์ (post)ข้อความขอความช่วยเหลือผ่านเฟซบุ๊ค (facebook)

ไม่เกิน ๕ นาทีหลังจากส่งไลน์ (line)ไป เสียงโทรศัพท์จากสุภาพสตรีท่านหนึ่งก็ดังขึ้น แนะนำตัวเองว่าอยู่ลพบุรี ทราบจากไลน์กลุ่มหลักสูตรดังกล่าว และแจ้งว่า “ตอนนี้ตนเองกำลังประสานไปยังเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ ให้” ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็มีโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งโทรมาสอบถามเรื่องดังกล่าว และแจ้งว่า “อีกสักครู่ช่างจะมาถึง พร้อมกับให้เบอร์โทรศัพท์ของช่างคนนั้นไว้”

บริเวณลานปั๊มน้ำมันเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับใจผมที่เริ่มเบิกบานขึ้น

กว่า ๑๑ ปีแล้ว ที่ผมต้องตื่นตั้งแต่เวลา ๐๓.๓๐ น.ในทุก ๆ เช้าวันจันทร์ เพื่อออกเดินทางจากบ้านที่จังหวัดนครสวรรค์มุ่งหน้าสู่ที่ทำงานจังหวัดนนทบุรี และพอเย็นวันศุกร์ก็จะเดินทางกลับบ้านอีกครั้ง เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

เสียงเพลงลูกทุ่งจากสถานีวิทยุลูกทุ่งมหานครทำหน้าที่เป็นเพื่อนอย่างซื่อสัตย์ ยามที่ผมต้องขับรถฝ่าความมืดรอบข้างมาเพียงลำพังบนถนนสายเอเชียที่รายรอบยังเป็นทุ่งนา

แม้ระยะเวลาการเดินทางจากนครสวรรค์มายังนนทบุรีจะมิไกลเกินไปนัก และไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืดขนาดนี้ก็ได้ แต่ผมเคยลองออกเดินทางเวลาสาย ๆ และถึงที่ทำงานทันที วันนั้นจะรู้สึกเพลีย สมองไม่แล่น และทำงานได้ช้ากว่าวันที่เดินทางถึงบ้านที่นนทบุรีก่อนเจ็ดโมงเช้า เพื่อจะได้มีเวลาพักสักชั่วโมงก่อนไปทำงาน ความสดชื่นและพร้อมต่อการทำงานจะมีมากกว่า

เช้าตรู่วันนี้หลังจากผมขับเลยแยกอินทร์บุรีมาไม่เท่าไหร่ ทันใดนั้นเข็มไมล์ความเร็ว ความร้อน และความเร็วรอบของรถยนต์ก็ตีกลับมาอยู่ที่เลขศูนย์ เสียงเครื่องยนต์ครางแปลก ๆ เครื่องปรับอากาศตัดลงทันที พร้อม ๆ กับที่ไฟหน้ารถดับลง ผมรีบถอนเท้าบนคันเร่ง ค่อย ๆ ประคองรถยนต์เข้าเลนซ้ายสุด มือเอื้อมไปกดปุ่มสัญญาณไฟกระพริบเพื่อขอทาง ในใจภาวนาขอว่า “อย่าให้เครื่องดับ และให้ถึงปั๊มน้ำมันไวๆ” ประคองมาได้สัก ๕ กิโลเมตร ปั๊มน้ำมัน ปตท. อยู่ข้างหน้า รถเริ่มชะลอความเร็วลงเหมือนจะดับเมื่อมาถึงถนนแยกเข้าปั๊ม ผมค่อย ๆ หักเลี้ยวรถเข้าปั๊ม และในที่สุดเครื่องยนต์ก็ดับสนิท

แม้ในปั๊มน้ำมันแห่งนี้จะมีร้านซ่อมรถอยู่ก็ตาม แต่ร้านยังคงปิดเงียบราวกับปราศจากคนอยู่อาศัย เด็กปั๊มที่กำลังกวาดพื้นอยู่ ตอบผมด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ ว่า “ช่างกลับบ้านปีใหม่ ยังไม่กลับมา”

“รู้จักช่างที่ไหนบ้างไหม”

“ไม่รู้จัก” คำตอบจากเด็กปั๊มคนเดิม

ในใจผมคิดว่า “คงไม่ใช่คนไทยแน่นอน”

กวาดสายตาไปรอบปั๊ม เห็นรถยนต์ขับเข้าออกหลายคัน แต่ไม่มีใครหันมาสนใจรถยนต์ของผมที่จอดอยู่กลางลานเลย ตัดสินใจเข็นรถไปที่มุมที่จอดรถของปั๊ม

จอดเสร็จหันไปเห็นรถกระบะขับเข้ามาจอดใกล้ ๆ ผมรีบเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เพื่อจะขอรบกวนพ่วงแบตเตอร์รี่สักครู่ แต่เธอคงจะรีบไปทำธุระจึงตัดบทการสนทนา พอ ๆ กับที่ขณะเดียวกันคนขับที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำชั่วครู่ เหลียวมองเหมือนจะให้กำลังใจแต่ก็ขับออกไปโดยทันที ผมหันไปเห็นชายอีกคนหนึ่งกำลังเดินผ่านไป เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ แต่คำตอบที่ได้รับคือ “ผมจะไปห้องน้ำ”

ความง่วงผสมกับความเครียดเริ่มสูงขึ้น “นี่เพิ่งตีห้าเอง สาย ๆ กว่านี้ คงจะมีคนมากขึ้น” ผมปลอบใจตัวเอง เปิดปฏิทินงานจากสมาร์ทโฟน “โล่งใจไปอีกหนึ่งเรื่องที่วันนี้ไม่มีงานอะไรเร่งด่วน งีบสักครู่ถ้าจะดี”
ยังไม่ทันจะหลับพลันได้ยินเสียงแกรกกราก ผมปรับกระจกรถลงชะโงกหน้าไปถามชายคนหนึ่งที่กำลังกวาดเศษใบไม้เศษฝุ่นอยู่ใกล้ ๆ ว่า “รู้จักช่างบ้างไหม” คำตอบที่ได้รับก็เหมือนเดิมคือ “ไม่รู้จัก”

ผมตัดสินใจหยิบสมาร์ทโฟน เข้าไปที่ Google Search ใส่ข้อความ “ซ่อมรถยนต์ สิงห์บุรี” ผลลัพธ์ออกมายาวเหยียด ผมรีบกดโทรศัพท์ตามเบอร์ที่ขึ้นมา แต่ปรากฏว่าปลายสายกลับเงียบสนิท

มีเว็บไซด์หนึ่งปรากฏข้อความว่า “เบอร์เร่งด่วน” มีเบอร์โทรศัพท์นับร้อยรายการขึ้นมาให้เลือก ตั้งแต่ไฟฟ้าดับ น้ำถูกตัด ระงับการเบิกธนาคาร ไล่เรียงอ่านไปเรื่อย ๆ จนพบเบอร์โทรศัพท์ของมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ผมตัดสินใจโทรไปหาทันที เสียงปลายสายเป็นสุภาพสตรี หลังผมแจ้งความประสงค์จบลง คำแนะนำที่ได้รับคือ ให้โทรไปที่ ๑๖๖๙ ซึ่งผมก็รีบทำตามคำแนะนำทันที

นั่งรอในรถไปได้สัก ๑๐ นาที ตัดสินใจเขียนข้อความบนไลน์ (line) ขอความช่วยเหลืออีกช่องทางหนึ่งร่วมด้วย

ระหว่างนั่งรอเวลาและชะตากรรมที่มาเยือนโดยไม่ได้ตั้งใจในเช้านี้ ผมหยิบหนังสือข้าง ๆ ตัวมาอ่านออกเสียงดัง ๆ หวังความเครียดจะเบาบางลง

อ่านไปได้สัก ๓ หน้า รถกระบะคันหนึ่งขับมาจอดด้านซ้ายรถผม หันไปดูเห็นเครื่องหมาย “กู้ภัยสิงห์บุรี” ติดอยู่ที่ประตูรถยนต์ ความรู้สึกสบายใจเกิดขึ้นโดยฉับพลัน

ชายร่างผอมเดินลงมาจากรถ ผมเผ้ายุ่ง หน้าตาบ่งบอกว่าเพิ่งตื่นนอน ในมือหยิบสายไฟเดินมาที่รถ ผมรีบลงไปคุยด้วย พร้อมกับเล่าอาการที่เกิดขึ้นให้ฟัง

ผ่านไปไม่นานหลังวินิจฉัยอาการเสร็จ ชายคนนั้นก็แนะนำว่า “ผมจะพ่วงแบตเตอร์รี่ให้พี่พอขับได้ แล้วพี่ขับตามผมไปที่อู่ผมนะ ซึ่งต้องขับย้อนกลับไปสัก ๕ กิโลเมตร”

เป็นไปตามที่ชายคนนั้นบอก เมื่อต่อพ่วงแบตเข้าด้วยกัน รถผมก็สามารถสตาร์ทได้ทันที ผมขับรถตามช่างคนนั้นไป จนถึง “อู่ช่างโบ้ พรหมบุรี” มองเข้าไปในร้านเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ และเครื่องยนต์ที่กำลังซ่อมอยู่จำนวนไม่น้อย “รอดแล้วซิเรา” ผมนึกในใจ

เมื่อไปถึงที่อู่ ลูกมือช่างร่างอ้วนก็จัดการถอดไดชาร์ทมากองที่ลานกลางอู่ ช่างโบ้ไม่รอช้าหยิบเครื่องมือถอดน๊อตตัวนั้นตัวนี้ตรวจดูภายใน แล้วเดินหาอะไหล่ในร้านมาใส่แทน พร้อมกับเอ่ยบอกกับผมว่า “ถ่านไดชาร์ทหมดอายุ” ประกอบเสร็จก็ลองนำไปใส่รถ และลองสตาร์ทดู แล้วก็ถอดออก มาเปลี่ยนอะไหล่ตัวโน้นทีตัวนี้ที และในที่สุดก็นำไปประกอบเข้าที่ และสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ดูอีกรอบ พร้อมกับเอ่ยมาทางผมว่า “ที่นี้ใช้ได้ไปอีกนานเลย”

ผมหันไปดูเวลาจากนาฬิกาที่แขวนอยู่ในร้าน ตอนนี้เกือบ ๑๐ โมงเช้าแล้ว

“๙๕๐ บาท ค่ะ” แฟนสาวของช่างโบ้นำบิลค่าใช้จ่ายมาให้ ผมส่งแบงค์พันให้พร้อมกับบอกว่า “ไม่ต้องทอนนะ” ช่างโบ้ยกมือไหว้พร้อมที่ผมกล่าวขอบคุณและก้าวขึ้นรถเหยียบคันเร่งขับรถยนต์ออกจากอู่มา

เวลาเริ่มทำงานสำหรับวันจันทร์นี้จึงถูกเลื่อนไปเป็น ๑๓.๓๐ น. แทน

ท้ายสุดผมอยากขอบคุณทุกการสื่อสารผ่านช่องทางโซเซียลมีเดีย เพื่อน ๆ ทุกคน (ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักกัน)ที่ส่งข้อความแสดงความห่วงใย และความช่วยเหลือมาให้ ซึ่งในที่สุดผมสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้มาได้

รวมถึงหมายเลข ๑๖๖๙ ที่ปกติเรามักนึกถึงเพียงแค่เกิดเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุเพียงเท่านั้น แต่ครั้งนี้ ๑๖๖๙ ช่วยผมให้ตลอดรอดฝั่งอย่างดี จึงอยากเน้นย้ำว่า “คิดอะไรไม่ออกบอก ๑๖๖๙ นะครับ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น