วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

เสียงที่ไม่ค่อยมีใครได้ยิน

๑๙ มกราคม ๒๕๕๗

“บ้านเมืองเราทำไมมันถึงยุ่งอย่างนี้”

คำพูดลอย ๆ จากปากของคน ๒ คน ที่ผมได้ยินครั้นไปทำธุระส่วนตัวนอกบ้าน อดคิดไม่ได้ว่า “บ่งบอกถึงบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังของคำพูดนี้มากมาย นัยหนึ่งได้แสดงถึงความอึดอัดคับข้องใจ”

ขณะนั้นเลยเวลา ๔ โมงเย็นไปกว่า ๑๐ นาทีแล้ว ผมตะโกนบอกลูกชายที่อยู่ในห้องส่วนตัวไปว่า “พ่อไปตัดผมนะ”

“อย่าลืมแวะไปเอาเสื้อผ้าที่ร้านยายด้วยนะ แม่ฝากให้เตือนพ่อด้วย” ลูกชายตอบกลับมา

ผมขับรถยนต์ไปยังร้านตัดผมที่ใช้บริการเป็นประจำ ซึ่งตั้งอยู่ในซอยถัดไปจากบ้านของผม

ประมาณปีกว่าตั้งแต่ย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ ผมใช้บริการ “ลุงปัง” มาโดยตลอด ตอนนี้แกอายุ ๖๕ ปีเศษแล้ว พื้นเพอยู่ที่อำเภอวชิระบารมี จังหวัดพิจิตร ย้ายมาอยู่ที่นครสวรรค์เพราะลูกสาวมาแต่งงานอยู่กินกับสามีจนมีลูก ๒ คน และตั้งรกรากอยู่ที่นี่

สมัยเมื่ออยู่ที่พิจิตรลุงปังมีอาชีพทำนาทำไร่ แต่พอย้ายมาอยู่ที่นี่ เห็นว่าตนเองพอจะมีฝีมือตัดผมอยู่บ้าง จึงเอ่ยปากขอใช้ที่ว่างด้านข้างบ้านลูกสาวตั้งเป็นร้านตัดผม ทำให้มีรายได้คอยจุนเจือตัวลุงและป้าคู่ชีวิตที่มาอยู่ด้วยกัน โดยไม่ต้องเป็นภาระลูกสาว

ลูกสาวกับลูกเขยของลุงปังทำงานราชการทั้งคู่ แต่ด้วยภาระที่แบกรับอันหนักอึ้ง ทำให้ใช้ช่วงวันหยุดไปรับเสื้อผ้าจากกรุงเทพมาขายที่ตลาดนัดหน้าค่ายทหารเป็นรายได้เสริม เพื่อมีเงินผ่อนบ้านที่จำนองไว้กับธนาคารเพิ่มขึ้น

ภรรยาลุงปังดูมีอายุอ่อนกว่าเล็กน้อย มีหน้าที่คอยทำอาหารและดูแลหลานทั้ง ๒ คน ป้าเป็นคนพูดจาไพเราะและช่างคุยมากกว่าลุงปัง บางครั้งในขณะที่ผมรอคิวตัดผม ป้าก็จะออกมาคุยด้วย และยิ่งรู้ว่าผมเป็นคนจังหวัดเดียวกัน ป้ายิ่งเล่าเรื่องราวต่างๆที่บ้านเราอย่างออกรสมากขึ้น

เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณร้าน เห็นลุงปังกำลังขะมักเขม้นตัดผมให้กับลูกค้าอยู่ แกหันมาส่งยิ้มให้กับผม พร้อมกับเอื้อนเอ่ยเชื้อเชิญให้นั่งรอสักครู่

ผมหันไปหยิบหนังสือการ์ตูนที่วางซ้อนกันอยู่หลายเล่มมานั่งอ่านฆ่าเวลา ได้ยินเสียงลูกค้าแว่ว ๆ ชวนลุงปังคุย แต่ลุงปังตอบไปเพียงคำสองคำเท่านั้น

สักพักเห็นลุงปังรับเงินจากลูกค้าพร้อมกับล้วงกระเป๋าหยิบเงินทอนส่งให้ พร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณ

ผมเดินเข้าไปนั่งประจำที่

“วันนี้ได้กี่หัวแล้วครับ”

“เพิ่งได้สัก ๑๐ หัวเอง ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคน ดูเงียบ ๆ”

“เป็นไงบ้างกรุงเทพฯ ตอนนี้”

“ก็วุ่นวายดีครับ” ผมตอบเพื่อหยั่งเชิงว่าลุงปังคิดอย่างไรกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะไม่แน่ใจว่าลุงปังอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ หากเป็นฝ่ายตรงข้ามกับผม ก็เกรงแกจะเอาใบมีดโกนที่แกถืออยู่ปาดใบหูผม

“ก็เพราะนายกฯ ไม่ยอมลาออกสักที” ลุงปังพูดสวนผมออกมาทันที

“อ้าว มันไม่ดีหรือ”

“จะดีอย่างไรล่ะ คนเขามาชุมนุมมากมายขนาดนี้ ยังหน้าด้านไม่ออกอีก”

“น่าจะไปตั้งนานแล้ว โกงมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ชาวนาที่พิจิตรก็มาปิดถนนแถว ๆ โพธิ์ไทรงาม มีอย่างที่ไหน จำนำข้าวไปตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้เงินเลย” ลุงปังสาธยายต่อ ในขณะที่ผมคิดไปถึงลูกค้าเมื่อสักครู่ที่ลุงปังไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไปเลย

“ลุงรู้ข่าวพวกนี้มาจากที่ไหน”

“ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ ออกข่าวเต็มไปหมด” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร เสียงทีวีก็ดังลอดออกมาจากในบ้าน ฟังดูก็รู้ทันทีว่า เป็นช่อง “บลูสกาย” เสียงคุ้นหูผมจริง ๆ

“แล้วจะไปเลือกตั้งกับเขาไหมลุง”

“มันจะมีเหรอ ยุ่งขนาดนี้ แต่ถ้ามีก็คงต้องไป คิดไปก็เสียดายเพราะลุงต้องกลับไปเลือกที่พิจิตรโน่น เสียดายเงินเสียดายเวลา เลือกมาก็คงอยู่ได้ไม่นาน แต่ถ้าไม่ไปเลือก ก็จะเสียสิทธิ” ลุงปังร่ายยาว

คำพูดของลุงปังทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า “ลุงปังคนนี้ไม่ใช่ย่อย” เป็นคนที่สนใจเรื่องราวต่าง ๆ ของบ้านเมืองมิใช่น้อย และที่สำคัญตระหนักถึงหน้าที่ในฐานะพลเมืองไทยที่ดีเชียวล่ะ

“ถามจริง ๆ เถอะลุง ลุงจะเลือกเบอร์อะไรล่ะ”

“นั่นนะซิ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมส่งใครลง คงจะกาช่องไม่เลือกใครน่ะ”

ผ่านไปสักพักลุงปังเอื้อมมือมาปลดที่หนีบผ้า และดึงผ้าที่คลุมตัวผมออก พร้อมกับเอ่ยว่า “เสร็จแล้วครับ”

ระหว่างที่กำลังเดินไปขึ้นรถยนต์ที่จอดไว้ที่หน้าบ้านลุงปัง “มันยุ่งมากจริง ๆ ประเทศอื่นเขาพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว คนไทยมัวแต่ทะเลาะกันอยู่นี่เอง” เสียงลุงปังดังขึ้น ผมหันไปมองเห็นแกกำลังกวาดเส้นผมที่ตกอยู่บนพื้นมากองรวมกัน

ผมขับรถยนต์ลัดเลาะมุ่งหน้าไปอีกซอยหนึ่งเพื่อไปรับผ้าที่จ้างรีดที่บ้านยายตามที่ลูกชายเตือน

ยายคนนี้อายุราว ๖๐ ปี ปล่อยผมขาวโพลนทั้งหัว แม้นผมจะมาใช้บริการแกบ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยถามชื่อแกสักที มาบ้านครั้งใด ก็จะเห็นตาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับยายช่วยบริการลูกค้า กับหลานชายที่กำลังเดินเตาะแตะอีกหนึ่งคน เข้าใจว่าคงเป็นหลานหรือเหลนตาและยายเป็นแน่แท้

ยายเห็นหน้าผม รีบส่งยิ้มต้อนรับทันที

"สวัสดียาย มารับผ้าที่แฟนเอามาฝากไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”

"ได้ค่ะ รอเดี๋ยวนะ ไม่มาเสียนานเลยนะ”

“ช่วงนี้งานเยอะ เลยไม่ค่อยได้กลับมาบ้านครับ”

ยายละจากผมไป สักครู่ก็ค่อยๆเดินออกมา พร้อมกับเสื้อผ้าที่รีดอย่างเรียบร้อยบนไม้แขวน

“นี่จะเข้ากรุงเทพหรือ” ยายเอ่ยถาม

“ครับ”

“อ้าว เข้ากรุงเทพฯ ได้หรือ”

“ทำไมล่ะ"

“ก็เขาปิดกรุงเทพกันไม่ใช่หรือ”

“ผมนี่แหละคนปิดกรุงเทพฯ เข้าได้อยู่แล้วยาย” ผมเอ่ยตอบโดยหวังจะหยอกให้ยายขำ

“อ้าวพวกเดียวกันหรือนี่ ยายไม่ค่อยคุยกับใครหรอกเรื่องนี้ ไม่รู้เขาคิดอย่างไร” ยายเดินเข้ามาใกล้ตัวผม แล้วลดระดับเสียงในขณะที่พูดลงต่ำกว่าเมื่อครู่

“ดีแล้วล่ะยาย”

ผมควักเงินในกระเป๋าจ่ายให้ยายไป ก่อนที่จะเอ่ยลา

“บ้านเมืองมันวุ่นวายจริง ๆ เลย ยายเบื่อมากเลย” เป็นคำพูดของยายที่ผมได้ยินก่อนที่จะปิดประตูรถยนต์ แล้วขับออกมา

เสียงจากวิทยุติดรถยนต์มีรายงานข่าวแทรกตอนต้นชั่วโมง รายงานเหตุการณ์วางระเบิดแถวๆอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีผู้บาดเจ็บนับสิบหลายแต่ยังไม่พบมีผู้เสียชีวิต

ว่าไปแล้วจากเรื่องราวที่ผมได้รับฟังจากลุงปังและยายเมื่อสักครู่ เป็นภาพสะท้อนจากคนตัวเล็กๆในชนบทถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยในเมืองใหญ่อยู่ในขณะนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทยอย่างวงกว้าง เกิดความวิตกกังวล และที่สำคัญได้ก่อให้เกิดความระแวงต่อกัน จะพูดคุยกับใครก็ต้องระมัดระวัง ฤา สังคมไทยที่เคยได้ชื่อว่า “สยามเมืองยิ้ม” จะสูญสิ้นไปแล้วกระมัง

แวบหนึ่งของความคิดพลันกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า

“จะมีใครที่ได้ยินเสียงของลุงปังกับยายบ้างไหมครับ”

“มันช่างวุ่นวายจริง ๆ หนอเมืองไทย”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น