วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกสุชนทัศนาจร (ตอนที่ ๒)

๒๕ มกราคม ๒๕๕๗

“สยามเมืองยิ้ม ยิ้มกันเข้าไว้
แต่ก่อนทีไร ยิ้มได้เต็มที่
ล่วงเลยมา อีกไม่กี่ปี
ผู้คนวันนี้ ยิ้มแตกต่างกันไป”

ผมนั่งฮัมเพลงนี้ระหว่างที่คณะเรากำลังเดินทางมุ่งหน้าสู่ “ภูทับเบิก” ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หลาย ๆ คนในทริป ต่างก็ติดตามสถานการณ์ของบ้านเมืองว่า (จะ) มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผ่านทางสังคมออนไลน์ที่ระยะทางไม่ได้ทำให้ความห่างไกลของข้อมูลลดน้อยลงหรือถอยห่างไปด้วย

เช้าวันนี้ (๒๕ มกราคม) หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พักแล้ว ชาวสุชนกว่า ๕๐ ชีวิต ได้แบ่งเป็น ๒ ทีม ทีมหนึ่งเดินทางไปร่วมงานแต่งงานน้องบี น้องที่เคยทำงานอยู่ที่ สช. ส่วนอีกทีมซึ่งรวมถึงผมด้วย มุ่งหน้าสู่ “ภูทับเบิก” สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบูรณ์ แม้ว่าไม่นานมานี้ผมก็เพิ่งจะพาครอบครัวขึ้นไปนอนสัมผัสอากาศหนาวบนยอดภูมาแล้วก็ตาม

เราใช้เส้นทางถนนพิษณุโลก-หล่มสัก มุ่งหน้าสู่ภูทับเบิกที่ตอนนี้กำลังมีการก่อสร้างขยายถนน สองข้างทางเต็มไปด้วยเครื่องจักรกลที่กำลังทำงาน และกองดินกองหินเต็มไปหมด ทำให้ทางแคบลงและเดินทางลำบากขึ้น จนมาถึงทางแยกเข้าอำเภอหล่มเก่า ถนนหนทางจึงดีขึ้น ขับมาไม่นานก็เข้าสู่เส้นทางขึ้นเขา ระยะทางกว่า ๓๐ กิโลเมตร ถนนคดเคี้ยวมากและชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่หลายช่วง

คณะภูทับเบิกประกอบไปด้วยรถตู้ ๔ คัน ผมนั่งรถหมายเลข ๔ ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นรถนำขบวน พี่คนขับแม้จะมีรูปร่างท้วมแต่ก็ดูทะมัดทะแมงยิ่งนัก และค่อนข้างชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี จึงทำหน้าที่คอยบอกเส้นทางอย่างละเอียดให้กับรถที่วิ่งตามมาข้างหลังผ่านวิทยุสื่อสารตลอดเวลา ผมนั่งฟังไปก็ได้เรียนรู้ระบบการทำงานในเรื่องนี้ไปด้วย และยิ่งสนุกมากขึ้น เมื่อมีการกระเซ้าเย้าแหย่กัน เช่น รถยนต์ที่สวนไปคนขับชื่อ “ท้าวขับดี” เป็นต้น

ก็คงไม่แตกต่างจากคณะนักทัศนาจรอื่น ๆ ที่พอถึงจุดชมวิวก็แวะถ่ายรูป พร้อมอุดหนุนสินค้าที่วางขายอยู่หลายร้านกันอย่างสนุกสนาน

สองข้างทางมองลงไปเต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพรสีเขียวเต็มยอดเขา บางช่วงก็หวาดเสียวมองไปเห็นเป็นหุบเหวลึก เมื่อมายืนบนยอดเขา “ทับเบิก” ที่อยู่บนเขาสูง แล้วมองลงมาข้างล่างก็จะเห็นถนนวกไปวกมาคล้ายงูกำลังเลื้อยอยู่ เห็นแปลงไร่กะหล่ำปลีเต็มยอดเขา ดูสวยงามแปลกตา หากมองไปในระดับสายตาก็จะเห็นสายหมอกสีขาวปกคลุมเต็มไปหมด เป็นอากาศยามเช้าที่แสนบริสุทธิ์และสดชื่นเป็นยิ่งนัก

ภูทับเบิก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งอยู่ที่บ้านทับเบิก ตำบลวังบาล ห่างจากอำเภอหล่มเก่า ๓๐ กิโลเมตร ตามเส้นทางจากหล่มเก่าไปภูหินร่องกล้า หรือห่างจากตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ ๙๐ กิโลเมตร

มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๑,๗๖๘ เมตร สภาพภูมิประเทศสวยงามด้วยธรรมชาติแบบทะเลภูเขา อากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากเป็นร่องที่รับลมเย็นจากเทือกเขาหิมาลัยและอยู่บนที่สูง สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยช่วงเช้าจะมองเห็นกลุ่มเมฆ และทะเลหมอกตัดกับยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์

ปัจจุบัน ภูทับเบิก เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ซึ่งได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่บ้านทับเบิก โดยอยู่ในความดูแลของ “ศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเพชรบูรณ์” มีอาชีพทำการเกษตรแบบขั้นบันไดตามเชิงเขา ในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะพบเห็นไร่กะหล่ำปลีอยู่สองข้างถนนสู่ทับเบิกสวยงาม ในราวเดือนธันวาคม-มกราคม จะมี ดอกซากุระ หรือนางพญาเสือโคร่ง สีชมพูบานสะพรั่งไปทั้งภูเขา

ทีมงานสุชนต่างแยกย้ายกันเดินชมทิวทัศน์ที่สวยงาม จับกลุ่มถ่ายรูป บ้างก็เดินจับจ่ายซื้อผัก ผลไม้ และของพื้นเมืองที่วางขายเป็นเพิงข้างทางเดินสู่ยอดภู ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถ่ายรูป โดยเฉพาะดอกไม้ ซึ่งมีแปลงดอกไม้กระดาษสีสันสวยงามแปลกตานับสิบไร่ตั้งอยู่ด้านหลังเพิงขายของ

เมื่อถึงเวลานัดหมาย รถทั้ง ๔ คันก็มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เส้นทางสายนี้หฤโหดมาก เป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง รถจึงเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า

อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของ ๓ จังหวัด คือ จังหวัดเลย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ที่มีธรรมชาติแปลกตาและสวยงาม ทั้งยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ เป็นยุทธภูมิสำคัญในอดีตที่เกิดจากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กับฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้น

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์การสู้รบ โรงเรียนการเมืองการทหาร กังหันน้ำ สำนักอำนาจรัฐ โรงพยาบาลรัฐ ลานอเนกประสงค์ สุสาน ที่หลบภัยทางอากาศ หมู่บ้านมวลชน

ทีมงานสุชนใช้เวลากว่า ๒ ชั่วโมงเดินเที่ยวชม “ลานหินแตก” ที่มีรอยแตกเป็นร่องแนวเหมือนแผ่นดินแยก รอยแตกนี้บางรอยก็มีขนาดแคบขนาดพอคนก้าวข้ามได้ แต่บางรอยก็กว้างจนไม่สามารถจะกระโดดข้ามไปถึง ความลึกของร่องหินแตกนั้นไม่สามารถจะคะเนได้ บริเวณลานหินแตกปกคลุมไปด้วยมอส ไลเคน ตะไคร่ เฟิร์น และกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ

อีกแห่งหนึ่ง คือ “ลานหินปุ่ม” ตั้งอยู่ริมหน้าผา ลักษณะเป็นลานหิน ซึ่งมีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่มปมขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน เนื่องจากอยู่บนหน้าผาและมีลมพัดผ่านตลอดเวลา

สถานที่แห่งสุดท้ายคือ “ผาชูธง” ซึ่งอยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ ๕๐๐ เมตร เป็นหน้าผาสูงชัน สามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล สวยงามมากในยามพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ซึ่ง ผกค. ขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่รบชนะฝ่ายรัฐบาล แต่วันนี้ได้มีการก่อสร้างเสาธงและประดับธงชาติไทยไว้อย่างสวยงาม

อาจเป็นเพราะช่วงออกจากโรงแรมที่พัก อากาศยังค่อนข้างหนาวมาก ทุกคนเลยแต่งตัวอย่างเต็มยศ ทั้งเสื้อกันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ แต่เส้นทางการเดินทางเที่ยวชมทั้ง ๓ จุด ทำเอาทีมสุชนต้องเปลื้องเครื่องกันหนาวออกทีละชิ้น ๆ จนเหลือเสื้อเพียงตัวเดียวที่เต็มไปด้วยเหงื่อโทรมกายและใบหน้า เวลาชวนคุยก็ได้ยินเสียงหอบถี่ ๆ ขาก็ก้าวไม่ค่อยจะออก หายใจแทบไม่ทัน บางคนแทบจะอยากเขวี้ยงเครื่องกันหนาวที่จัดอย่างเต็มที่มาทิ้งเสียกลางทาง

ระหว่างออกเดินทางจากอุทยานมุ่งหน้ากลับโรงแรม ได้แวะพักถ่ายรูปกันที่ "ร้านกาแฟ Route ๑๒" ที่ตั้งอยู่ริมถนนสาย ๑๒ (พิษณุโลก-หล่มสัก) ร้านรวงแต่ละร้านตกแต่งแบบแปลกตา มีทั้งเครื่องดื่ม ของที่ระลึก และของเก่า ๆ ที่น่าสะสมวางขาย มีนักทัศนาจรแวะชมแน่นขนัด

ณ จุดนี้ ครอบครัวสุชนที่แยกย้ายกันเมื่อตอนเช้า กลับมาเจอกัน ณ จุดนี้ บรรยากาศจึงคึกคักยิ่งขึ้น จับกลุ่มถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ จนทั่วทุกซอกทุกมุม จนได้เวลานัดหมาย จึงเดินทางกลับโรงแรม

เวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. งานสังสรรค์ “สานพลัง สช.” ก็เริ่มขึ้น บริเวณลานข้างโรงแรม โดยทีม “เพื่อนท่องเที่ยว” เป็นผู้จัดกิจกรรมให้ ซึ่งมีทั้งการแสดงของสาวประเภทสอง การเล่นเกม การทายปัญหา การร้องเพลงคาราโอเกะ อย่างสนุกสนาน บนลานกว้าง หน้าโรงแรม ท่ามกลางอากาศที่เย็นเฉียบ

แม้งานปาร์ตี้จะมาพร้อมกับความสนุกสนาน แต่หลาย ๆ คนก็อดมิพักกังวลใจไม่ได้ เพราะวันรุ่งขึ้นจะเป็น “วันเลือกตั้งล่วงหน้า” ซึ่งแม้จะมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเมื่อวานแล้วก็ตาม แต่ กกต.ก็ยังไม่มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้เลื่อนเลือกตั้งฉบับใหม่ออกมา จึงต้องเดินหน้าจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าต่อไป ซึ่งทุกคนล้วนแล้วเห็นตรงกันว่า “จะเกิดเหตุการณ์เผชิญหน้าและความรุนแรงอย่างยากจะหลีกเลี่ยง”

ผมก็ขอตั้งจิตเพียรภาวนาขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ ช่วยดลใจให้คนไทยทุกคนหันมารักกัน สามัคคีกัน เห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมืองก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว และช่วยกันสรรสร้างให้ประเทศไทยเรากลับมาเป็น “สยามเมืองยิ้ม” อีกครั้งด้วยเทอญครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น